Saturday, September 29, 2018

การโฆษณาบน youtube


การโฆษณาบน youtube เป็นช่องทางที่มาแรง เพิ่มยอดขายแบบคาดไม่ถึงเลยทีเดียวครับ
      การโฆษณาบน Youtube  เป็นการเพิ่มการเข้าถึง เพิ่มการรับรู้ เพิ่มยอดขายได้อย่างไม่น่าเชื่อ  เว็บไซต์หรือสินค้าทีคุณขายอาจดังเพียงชั่วข้ามคืน เหมือนที่ หญิงลี , ใบเตย และอีกหลายๆ คน เคยแจ้งเกิดมาแล้ว
   
   จัดทำโดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรองจาก Google ทั้งทีม และบริษัทฯ ที่ได้รับการรับรองจาก Google ระดับสูงสุด (Google Premier Partner) วิทยากรให้ความรู้ด้านการโปรโมทวีดีโอบน Youtube กับหลากหลายที่  วิวที่เราทำ วิวจริง วิวขึ้นแล้วไม่มีลด 100%

   
คือ โปรโมทโฆษณาวีดีโอบังวีดีโอที่กลุ่มเป้าหมายคุณดู มีปุ่ม Skip ขึ้นมุมขวามือ
   -  เมื่อโฆษณาวีดีโอคุณขึ้น กลุ่มเป้าหมายกดข้ามหรือ Skip ไม่ถูกนับเป็นวิว
-  วิวที่นับเป็นวิวที่คนดูจนวีดีโอจบ หรือ ดูเลย 30 วิเท่านั้น (เข้าถึงคนที่สนใจได้จริงๆ)
-  โปรโมทวีดีโอบน Youtube สร้างให้คนรู้จักได้ในเวลาอันรวดเร็ว
-  วีดีโอของคุณ จะขึ้นแสดงก่อนวีดีโอที่กลุ่มเป้าหมายคุณดูบน Youtube
-  สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมาย ที่ต้องการให้เห็นวีดีโอของคุณได้
   (เช่นต้องการให้ผู้หญิงหรือผู้หญิง ช่วงอายุเท่าไหร่, มีความสนใจอะไร ฯลฯ)
   ที่ต้องการให้เห็น วีดีโอของคุณ โดยการจัดทำโดยผู้เชี่ยวชาญ
   Advanced youtube Certified จาก Google 
-  หากกลุ่มเป้าหมายไม่สนใจดูวีดีโอโดยการกด Skip หรือ ดูไม่ครบ 30 วินาที
    จะไม่ถูกนับ View นั่นเท่ากับว่า วีดีโอคุณจะถูกดูกับกลุ่มเป้าหมายที่มีความ
    สนใจจริงๆ เท่านั้น
-  สามารถเห็นวิวที่ขึ้นได้จากคลิปของคุณ วิวจริง ไม่มีลดแน่นอน

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับ concept ของวิดีโอคุณว่า น่าสนใจขนาดไหนนั่นเอง

บริการสำหรับลูกค้าต้องการทำโฆษณา ติดหน้าแรก google/Facebook/IG และเรายังสามารถ รับสอน seo ขั้นพื้นฐานได้ และอยาก รับทำ seo เราก็จะจัดให้

Friday, September 28, 2018

social marketing คืออะไร




Instagram หรือที่เราเรียกสั้นๆ ว่า IG อีกหนึ่งช่องทางที่ผู้ประกอบการนิยมใช้ เพราะฟังก์ชันต่างๆ ก็ใช้งานง่าย และยังมีฟีเจอร์ต่างๆ อัพเดทมาให้ใช้งานอยู่เรื่อยๆ ทำให้ยอดของผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มมีมากกว่า 800 ล้านบัญชี โดยแพลตฟอร์มนี้ก็เหมาะกับคนทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ต้องการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำและนำเสนอเรื่องราว สินค้า บริการและผลิตภัณฑ์ดีๆ สู่สายตาชาวโลก ดังนั้น Am2b Marketing จึงได้รวบรวมวิธีการที่ง่ายที่สุดเพื่อที่จะช่วยให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซของคุณมียอดขายโดดเด่นไม่แพ้แพลตฟอร์มตัวอื่น

1. รู้จักผู้ชมของคุณ

ข้อแรกนี้สามารถใช้ได้กับทุกแพลตฟอร์มเลยไม่ใช่แค่เฉพาะในอินสตาแกรมเท่านั้น ก่อนที่จะเริ่มทำการตลาดคุณจะต้องทำความเข้าใจอย่างชัดเจนเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ โดยผู้ประกอบการจะต้องวิเคราะห์ Customer Persona หรือทำความรู้จักพฤติกรรมของผู้บริโภค หรือกลุ่มของลูกค้าที่แท้จริงร่วมไปด้วย เพื่อเฟ้นหาคอนเทนต์รวมทั้งการโฆษณาลงอินสตาแกรมให้ถูกใจนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็น อายุ เพศ การศึกษา ความสนใจ หรือแม้กระทั่งระดับรายได้ พิจารณาว่าปัจจัยใดมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจการซื้อของพวกเขา และปัจจัยใดที่เป็นอุปสรรคสำหรับพวกเขาในการตัดสินใจซื้อสินค้า

2. ทำให้ง่ายต่อการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของคุณ

คนส่วนมากจะบอกว่าไม่ควรขายมากเกินไปบนอินสตาแกรม แล้วบางธุรกิจก็มันจะจบลงด้วยการไม่ขายอะไรเลยบนอินสตาแกรม แต่ในแพลตฟอร์มนี้ยังมีฟีเจอร์ต่างๆ ให้คุณได้เล่นอีกมากมายไม่จำเป็นต้องโพสต์แค่ในหน้าฟีดเท่านั้น
  • เพิ่มลิงก์ใน IG Story : อินสตาแกรมอนุญาตให้บัญชีอินสตาแกรมธุรกิจทั้งหมดที่มีผู้ติดตาม 10,000 คนขึ้นไปสามารถเพิ่มลิงก์ไปยังเรื่องราวอินสตาแกรมได้ซึ่งก่อนหน้านี้คุณลักษณะนี้มีให้สำหรับบัญชีอินสตาแกรมที่ได้รับการยืนยันเท่านั้น
  • เพิ่มลิงก์ในประวัติย่อ: การวางลิงก์ไปยังเว็บไซต์ของคุณในประวัติย่อเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกในการให้ผู้ใช้ IG คลิกไปที่เว็บไซต์ของคุณเพียงคลิกเดียวเท่านั้น
  • เพิ่มปุ่ม Action Buttons: มีไว้สำหรับให้ผู้ชมคลิกซื้อสินค้าหรือติดตั้งแอพพลิเคชั่นลงในโฆษณาได้เลย รวมถึงการเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถตั้งค่าลิงก์เพื่อให้โฆษณานี้มีความคุ้มค่าสูงสุด

3. สร้างเนื้อหาจากผู้ใช้งานจริง

ลูกค้าและผู้ติดตามของคุณคือแหล่งเนื้อหาที่ยอดเยี่ยมสำหรับหน้าอินสตาแกรมด้วยเครื่องมือที่เหมาะสมและคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ จากบุคคลเหล่านี้ของคุณสามารถทำให้เป็นเอกอัครราชทูตแบรนด์ชั้นก็เป็นได้ ซึ่งเนื้อหาที่ถูกสร้างจากผู้ใช้งานจริงๆ จะสามารถส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นด้วยอัตรา Conversion ที่สูงขึ้น หรือแม้กระทั่งแบรนด์ใช้รูปถ่ายโดยผู้ใช้สิ่งของจริงจะช่วยให้เห็นประโยชน์และความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์ได้มากกว่าภาพผลิตภัณฑ์ที่วางไว้ที่ใดที่หนึ่ง
อย่างเช่น หากมีการขายกระเป๋ารูปที่ใช้ในการโพสต์สินค้าควรถ่ายร่วมกับบุคคล เพื่อให้ลูกค้าได้รู้ว่าสินค้านั้นมีขนาดเล็กหรือใหญ่ขนาดไหน ถือแล้วเหมาะสมหรือไม่ การทำเช่นนี้นอกจากจะทำให้ลูกค้าทราบแล้วว่ากระเป๋านมขนาดเท่าใด ยังสามารถลดการตอบคำถามของลูกค้าลงไปอีกด้วย

บริการสำหรับลูกค้าต้องการทำโฆษณา ติดหน้าแรก google/Facebook/IG และเรายังสามารถ รับสอน seo ขั้นพื้นฐานได้ และอยาก รับทำ seo เราก็จะจัดให้

รับทำ SEO สร้างแบนด์ของคุณให้โลกรู้จัก



  รับทำ SEO โปรโมทเว็บไซต์ ให้ติดอันดับ Google ติดหน้าแรก Google ทางด้าน SEO เราเป็น ฟรีแลนซ์ คือรับทำ SEO ด้วยวิธีโปรโมทอันปลอดภัย สายขาว ติดทน ติดนาน ไม่โดนแบนจาก Google แน่นอน ! ด้วยงานมืออาชีพประสบการณ์มากกว่า 10 ปี เรารับทำ SEO ได้ทั้ง Website, Facebook Fanpage, Youtube

สิ่งที่จะได้รับเมื่อใช้บริการรับทำ SEO กับเรา


  สิ่งที่จะได้รับเมื่อใช้บริการรับทำ SEO กับเรา
  อันดับเว็บไซต์ของคุณจะดีขึ้นตามระยะเวลา
  ปรับแต่ง onpage พื้นฐานให้เหมาะสม
  วิธีการทำ SEO ด้วยวิธีที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าได้ผลจริง
  วิเคราะห์ Keywords ที่ดีที่สุดให้คุณเพื่อผลตอบแทนที่คุ้มค่าแก่ธุรกิจคุณ
ทำไมเราแตกต่างจากผู้ให้บริการ SEO อื่น ๆ
 “รับทำ SEO” ทำไมดีกว่าที่อื่น เรารับจำนวนจำกัดแค่ 20 เว็บไซต์/ปีเท่านั้น เราถึงจะมีเทคนิคทำอันดับติดหน้าแรก Google ตลอดเรื่อยมา
เราเป็นมากกว่าผู้รับทำ SEO
ด้วยบริการต่าง ๆ ด้านการตลาดออนไลน์ที่เรามี เช่น รับทำเว็บไซต์ , รับทำการตลาดออนไลน์,ออกแบบกราฟฟิก และอื่น ๆ ทำให้เราสามารถเป็นที่ปรึกษาของคุณบนโลกออนไลน์ได้อย่างครบถ้วน
บริการสำหรับลูกค้าต้องการทำโฆษณา ติดหน้าแรก google/Facebook/IG และเรายังสามารถ รับสอน seo ขั้นพื้นฐานได้ และอยาก รับทำ seo เราก็จะจัดให้




Thursday, September 27, 2018

การตลาดออนไลน์สุดปัง แบรนด์ของคุณดังแน่นอน

การตลาดออนไลน์สุดปัง ที่จะช่วยให้แบรนด์ของคุณดังแน่นอน

  • จะต้องมี Influencers ที่ดีเยี่ยม
เพราะผู้บริโภคในยุคปัจจุบันนี้ โดยส่วนใหญ่ มักจะเชื่อบุคคลอื่นๆ ครอบครัว คนรู้จัก มากกว่าเชื่อในสิ่งที่แบรนด์ของเราบอก เช่น ถ้าเพื่อนสนิท คนรู้จัก หรือคนมีชื่อเสียงที่ติดตามอยู่ บอกว่าดี ลูกค้าก็จะเชื่อมากกว่าที่แบรนด์ออกมาบอกเองว่าดี เป็นต้นครับ
ดังนั้น ถ้าเราต้องการให้แคมเปญให้สินค้าของเราเป็นที่รู้จักมากขึ้นในสังคม ได้รับการบอกต่อมากขึ้น ก็ควรจะมี Influencers ที่มีอิทธิพลต่อกลุ่มเป้าหมายของเรา เป็นคนถ่ายทอดข้อความที่เราต้องการจะสื่อออกไปนั่นเอง ซึ่งอาจจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือไม่ก็ได้นะครับ แต่ขอแค่เป็นคนที่กลุ่มลูกค้าของเราเชื่อถือก็พอ
  • การบริการลูกค้าต้องเฉียบ !!
เพราะถึงแม้คุณจะมีเทคนิคการทำการตลาดออนไลน์ที่ดีขนาดไหนก็แล้วแต่ แต่ถ้าเรื่องการบริการแย่ ลูกค้าก็ไม่สนใจเราได้เช่นเดียวกัน แถมยังทำให้ลูกค้าเก่า ไม่อยากกลับมาบริโรคหรือซื้อซ้ำและเขาก็บอกต่อประสบการณ์แย่ๆที่เรียกว่าการรีวิวสินค้านั่นเอง  ทั้งๆที่ตามสถิติแล้วยอดขายส่วนใหญ่มาจากลูกค้าเก่ามากถึง 60-70% ส่วนกลุ่มลูกค้าใหม่ มีเพียงแค่ 5-20% เท่านั้น
ดังนั้น ถ้าเราให้บริการตอบคำถามพูดคุย รวมถึงบริการหลังการขายที่ดีเยี่ยม ก็มีโอกาสสูงมากๆ เลยค่ะ ที่ลูกค้าจะบอกต่อแบรนด์ของเราออกไป และทำให้เราได้ยอดเพิ่มขึ้นจากทั้งลูกค้าใหม่และลูกค้าเก่าเลยทีเดียว
  • ทำยังไงก็ได้ให้กลุ่มลูกค้ารีวิวคุณได้ง่ายขึ้น
เพราะการรีวิวจากผู้ใช้จริง ย่อมทำให้ลูกค้าใหม่รู้สึกเชื่อใจได้มากกว่า ยิ่งถ้าลูกค้ากดแชร์ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้นเข้ากันไปใหญ่ ดังนั้น!! ถ้าคุณมีเว็บไซต์หรือช่องทางสื่อสารใดๆ ก็ตามกับลูกค้า ควรปรับปรุงให้สามารถเข้ามารีวิวได้ง่ายขึ้น ผ่านการคลิกแค่ไม่กี่ที แค่นี้ก็เป็นอีกทริคการตลาดออนไลน์ ที่ช่วยให้แบรนด์ของคุณดูน่าเชื่อถือมากขึ้นแล้วล่ะค๊าบบบ
เป็นยังไงกันบ้างครับ กับ วิธีทำการตลาดออนไลน์ แบบปากต่อปาก ที่เรียกได้ว่าเป็นทริคที่ใช้กันมานานมากๆก่อนจะมีการทำออนไลน์ด้วย แต่ยังทรงพลังอยู่เสมอ ขอแค่รู้จักนำมาปรับใช้ให้เข้ากับธุรกิจของเราให้มากที่สุด แค่นี้แบรนด์ของคุณก็มีโอกาสก้าวไปข้างหน้าได้ไกลขึ้นอย่างแน่นอน
ท่านสามารถปรึกษาเราได้ที่ http://www.izeeseo.com/ รับสอน รับทำ การตลาดออนไลน์
บริการสำหรับลูกค้าต้องการทำโฆษณา ติดหน้าแรก google/Facebook/IG และเรายังสามารถ รับสอน seo ขั้นพื้นฐานได้ และอยาก รับทำ seo เราก็จะจัดให้

Tuesday, September 25, 2018

Google AdWords การทำโฆษณาแบบ Pay Per Click (PPC)


Google AdWords การทำโฆษณาแบบ Pay Per Click (PPC) ซึ่งเป็นการทำโฆษณาในรูปแบบหนึ่งของ Google Advertising คือ การทำโฆษณาบนหน้า Google ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการ ซึ่งเมื่อคลิกที่โฆษณานั้นก็จะลิงก์ไปยังเว็บไซต์ ที่เรากำหนดไว้ได้ทันที ซึ่งคุณจะเสียค่าใช้จ่ายเมื่อมีคนคลิกเท่านั้น แต่ถ้าชมอย่างเดียว ไม่มีการคลิก ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ โดยโฆษณาของคุณจะปรากฏตามคีย์เวิร์ด ที่คุณเลือก ซึ่งเว็บไซต์ของคุณจะต้อง อยู่ในส่วน Sponsored ของ Google สังเกตุจากเมื่อเราค้นหาอะไรซักอย่างจาก Google ผลที่ได้จากการค้นหาจะมีกรอบสี่เหลี่ยมอยู่ด้านบน และด้านขวาเสมอ

ข้อดีของการทำ Google AdWords (PPC)

  •  การทำ Google AdWords ใช้เวลาภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อให้โฆษณา ปรากฎได้ทันที
  •  การทำ Google AdWords สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ทันทัน โดย
    • สามารถเลือกตลาดที่จะทำได้ เช่น ทำเฉพาะประเทศไทยประเทศเดียว หรือหลายประเทศ
    • สามารถเลือกภาษาของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ เช่น เป็นภาษาอังกฤษ ภาษาจีน หรือ ภาษาอื่นๆ ก็ได้
    • สามารถเลือกได้ว่าจะแสดงผลที่ใดบ้าง เช่น ใน Google อย่างเดียว, บริการทุกอย่างของ Google (Google Content Network) และ Partner ของ Google ก็ได้
  •  - การทำ Google AdWords ไม่ต้องเสียเวลาการปรับแต่งโครงสร้างเว็บไซต์
  •  - การทำ Google AdWordsสามารถเลือกช่วงเวลาที่จะแสดงโฆษณาในแต่ละวันได้
  •  - การทำ Google AdWords สามารถใช้คีย์เวิร์ด ได้ไม่จำกัดจำนวนและยังสามารถแก้ไข หรือเปลี่ยน แปลงคีย์เวิร์ด และ ข้อความโฆษณาต่างๆได้ตลอดเวลา ตามต้องการ
  •  - การทำ Google AdWordsสามารถกำหนดงบประมาณประจำวันได้เอง

ประโยชน์ของการทำ Google Adwords (PPC)

  •  การทำ Google AdWords สามารถโฆษณาได้ตรงตามกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ
  •  การทำ Google AdWords ทำให้มีคนรู้จักเว็บไซต์คุณมากขึ้น
  •  การทำ Google AdWords เพิ่มโอกาสในการขายและทำให้ผู้คนเข้าถึงธุรกิจได้มากขึ้นอย่าง รวดเร็ว
  •  การทำ Google AdWords ได้รับผลกำไรกลับคืนมาก แต่เสียค่าใช้จ่ายน้อย
  •  การทำ Google AdWords ไม่ต้องเสียเวลาในการปรับแต่งโครงสร้างของเว็บไซต์
  •  การทำ Google AdWords สามารถขยายตลาดให้ครอบคลุมทั่วโลกได้

บริการสำหรับลูกค้าต้องการทำโฆษณา ติดหน้าแรก google/Facebook/IG และเรายังสามารถ รับสอน seo ขั้นพื้นฐานได้ และอยาก รับทำ seo เราก็จะจัดให้

Monday, September 24, 2018

Search Marketing ช่องทางที่มีมากกว่าการค้นหาข้อมูล

Search Marketing ช่องทางที่มีมากกว่าการค้นหาข้อมูล

สิ่งสำคัญที่คุณจะต้องเตรียมความพร้อมสำหรับการทำ Search Marketing เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดกับธุรกิจของคุณคืออะไรครับ


  จริงๆการทำ Search Marketing มันแบ่งออกเป็น 3 ส่วน 

1. คือเราจะต้องรู้ก่อนว่า User หรือคนที่เป็นลูกค้าของเราจะ Search คำว่าอะไรเป็นอย่างแรก หรือที่เราเรียกมันว่า Keyword นั่นเอง

2. ก็คือข้อความโฆษณาของเรามีความน่าสนใจ มีความดึงดูดมากน้อยแค่ไหน ชูจุดขายของเรามั้ย 

3. ซึ่งสำคัญที่สุดก็คือตัว Landing page หรือเว็บไซต์ของเรา ต้องนำทางคนที่จะมาเป็นลูกค้าของเราเข้าไปในเว็บไซต์หรือเข้าไปในหน้าที่เขาต้องการค้นหาจริงๆได้ 

สามปัจจัยนี้คือหัวใจสำคัญของ Search Engine เลย เพราะว่าถ้าลูกค้าเข้ามาหรือ Search keyword เข้ามาแล้วเจอข้อความโฆษณาที่ไม่ตรงกับสิ่งที่เขาต้องการ เขาก็ไม่คลิกเรา เขาก็ไปคลิกคนอื่น ทีนี้พอเขาไม่เลือกเราแล้ว เราก็จะหมดโอกาสในการขาย แต่ถ้าเรามีคำโฆษณาที่โดน ที่ตรง แล้วเราก็ Lead ลูกค้าเข้าไปที่เว็บไซต์ ถ้าเว็บไซต์เราสามารถที่จะมีคีเวิร์ดที่อธิบาย หรือขายของที่เขากำลังหาอยู่แล้ว มันก็จะทำให้เกิดยอดขายได้นั่นเอง

ในยุคปัจจุบันที่การแข่งขันการตลาดออนไลน์มันร้อนแรงเหลือเกิน Search Engine มีความสำคัญหรือความจำเป็นที่ต้องมีไหมในธุรกิจของคุณ 

  จำเป็นไหมน่ะเหรอ ? ก็แล้วแต่ว่าเรานั้นทำอุตสาหกรรมอะไร ถ้าเราเป็นแฟชั่นเราอาจจะไม่จำเป็นต้องทำ Search Engine ก็ได้ แต่มันก็มีกรณีที่ว่า ขายแฟชั่น ลูกค้าเขากำลัง Search หาอย่างเช่น Search หากางเกงขาเดฟ คือเขามี Demand ณ ตรงนั้นเลย เขา Search หา Google เลย เราก็ควรที่จะมีพื้นที่ในการแสดงผล แสดงผลในเว็บไซต์เราให้เขาเห็นว่า มีร้านเราอยู่ในโลกอินเตอร์เน็ตด้วยนะ เพราะว่าใน Search Engine มันคือการที่ลูกค้าเขาเข้าใจว่า ถ้ามีอยู่ใน Google ก็คือแปลว่ามีอยู่จริง สามาถคลิกเข้ามาและหาข้อมูลได้จริงนั่นเอง

ช่วยอธิบายความแตกต่างกันระหว่าง Search Engine กับ E-Commerce หน่อยครับ ว่ามันมีความแตกต่างและทำงานต่างกันอย่างไร 

  Search Engine Marketing ก็คือการที่เราทำโฆษณาใน Search Engine ต่างๆค่ะ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการทำโฆษณาที่เป็น Pay Per Click อย่างที่ Google Adwords เขาจะมี Dashboard ให้เข้าไปทำ ส่วนที่สองก็คือ SEO ค่ะ SEO ก็คือการที่ทำให้ user รู้สึกว่าเป็นการคลิกที่ค้นหาแล้วเจอสิ่งที่ไม่ใช่โฆษณา แต่คือการที่มีคนเสิร์ชเข้ามาเยอะๆ หรือว่าเป็นคลิกธรรมชาติ เรียกว่าเป็นคอนเทนต์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นเอง โดยการที่คนหลายๆคนเข้ามาคลิกที่ตรงนี้ มันก็จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือมากขึ้น แตกต่างจาก E-Commerce ยังไง E-Commerce ก็คือเว็บขายของออนไลน์ เพียงแต่ว่าระบบ E-Commerce มันก็จะมีสเกลเล็ก สเกลใหญ่ ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการที่จะทำเว็บไซต์ของเราให้เรียกว่ามีระบบที่สามารถเจาะกลุ่มพฤติกรรมลูกค้าได้มากขนาดไหนนั่นเอง ซึ่ง E-Commerce ก็เป็นการขายของออนไลน์ จะต้องใช้ Shopping cart มีการจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต มีการจ่ายผ่านการโอนเงิน ก็คือมันควรที่จะมี Digital payment หรือว่าอะไรที่มันสามารถ automatic ทำให้ร้านค้ารับรู้ว่าเราชำระเงินแล้ว 

Digital Marketing สำคัญอย่างไรกับคนไทยสมัยนี้ครับ 

  จริงๆมันไม่ได้สำคัญแค่เฉพาะคนไทย Digital Marketing นั้นมันสำคัญในแง่ที่ว่าทุกวันนี้คนใช้อินเตอร์เน็ตเยอะขึ้น เพราะฉะนั้นจึงมีโอกาสที่เราจะทำ Digital Marketing ให้เกิดยอดขายได้มากกว่าในยุค 10 ปีที่แล้ว มันมีโอกาสมากขึ้น เรามีพื้นที่ในการหายใจ เรามีพื้นที่ในการโฆษณาซึ่งเรียกได้ว่าไม่จำกัดเลย และก็ไม่ได้เรียกว่าเราต้องมีงบเป็นแสนหรือมีงบเป็นล้านเราถึงจะทำโฆษณาได้ แต่เราสามารถทำโฆษณาได้ตั้งแต่เรามีเงิน 100 บาท เพราะฉะนั้นมันจึงมีความสำคัญตรงที่ว่าเราสามารถที่จะกระโดดเข้าไปในตลาดใหม่ๆ ที่เรารู้ว่ามันมี Demand หรือมีคนที่ต้องการของของเราอยู่ตรงนั้น เราก็กระโดดเข้าไปได้เลยง่ายๆ โดยที่ใช้เครื่องมือทางด้าน Digital Marketing เป็นเครื่องมือหลักในการหาลูกค้าใหม่ๆ

บริการสำหรับลูกค้าต้องการทำโฆษณา ติดหน้าแรก google/Facebook/IG และเรายังสามารถ รับสอน seo ขั้นพื้นฐานได้ และอยาก รับทำ seo เราก็จะจัดให้





Sunday, September 23, 2018

marketing Google และ ความแตกต่างกันระหว่าง SEO กับ SEM

  

   หลังจากที่ผมได้อธิบายคำศัพท์ต่างๆที่เกี่ยวกับ Social Media Marketing ไปแล้วนะครับ ปรากฏว่ามีคนให้ความสนใจถามคำถามเกี่ยวกับวงการนี้เข้ามามากพอสมควร ซึ่งน่าจะเกิดจากกระแสของ e-commerce ที่กำลังเติบโตมากในปีนี้ ทั้งจากการบุกจากบริษัทสัญชาติไทยเราและกลุ่มบริษัทต่างประเทศ ทำให้คนกลับมาตื่นตัวขึ้น เรื่องการโปรโมทเว็บไซท์และช่องทางการขายทางอิเล็กทรอนิกส์กันอีกครั้งนึง
   ดังนั้น ฉบับนี้ผมจึงอยากจะขออนุญาติพูดถึงการตลาดออนไลน์ต่ออีกสักครั้งนึง โดยถือโอกาสอธิบายลักษณะการตลาดใหญ่ๆที่ผมพบว่าคนส่วนใหญ่มักจะสับสนกันบ่อยๆ เวลาผมมีโอกาสได้สอนหรือเสนองานให้กับลูกค้านั่นก็คือคำว่า “SEO”  และ “SEM”
   สำหรับท่านที่เคยให้ความสนใจเรื่องการตลาดออนไลน์นั้น อาจจะเคยได้ยินคำว่า “SEO” กันอยู่บ้าง โดย “SEO” นั้นเป็นคำที่ย่อมาจากคำว่า “Search Engine Optimization” นั่นเองครับ ซึ่งหากจะแปลตรงตัวแล้ว เพื่อให้ความหมายถูกต้องนั้น จริงๆต้องจัดคำพูดใหม่เป็น “Optimization for Search Engines” ซึ่งจะสามารถแปลตรงตัวได้ว่า “การปรับเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับ Search Engine” นั่นเอง

    คำว่า “Search Engine” นี้หมายถึงเว็บไซต์ที่ใช้ในการหาเว็บไซต์อื่นๆ หรือที่ยอดนิยมสุดในปัจจุบันนั่นก็คือ Google นั่นเองครับ โดยมีคู่แข่งที่ได้รับความนิยมเป็นรองลงมาคือ “Bing” ของ Microsoft หรือ “Baidu” ของจีน “Naver” ของเกาหลี “Yandex” ของรัสเซีย
   ในโลกที่มีเว็บไซต์มหาศาล วิธีการที่ Search Engine เหล่านี้ใช้ในการเก็บข้อมูลว่ามีเว็บไซต์อะไรบ้างและแต่ละเว็บไซต์มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรบ้าง เพื่อให้สามารถแสดงผลการค้นหาให้กับผู้ใช้ได้นั้น คือการใช้โปรแกรมที่เรียกว่า “Crawler” ทำการ “ไต่” หาเว็บไซท์ต่างๆที่มีอยู่ทั่วโลกโดยอัตโนมัติ เพื่อทำการอ่านข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ว่ามีเนื้อหาอะไร และแต่ละเว็บไซต์นั้นควรได้รับความสำคัญมากแค่ไหน ผ่านระบบการประเมิณผลพิเศษของแต่ละบริษัท
    ทั้งนี้ เนื่องจากในปัจจุบันนั้น วิธีการหาข้อมูลหรือเว็บไซต์ที่น่าสนใจที่ยอดนิยมที่สุดก็คือการ “Search” หรือ “ค้นหา” ผ่าน “Search Engine” เหล่านี้ ดังนั้น “SEO” นั้นจึงหมายถึงการปรับเนื้อหาและโครงสร้างเว็บไซต์ให้ “Search Engine” สามารถอ่านเนื้อหาเราได้ง่าย และทำให้เว็บไซต์เราติดอันดับสูงๆเมื่อมีคนทำการ “Search” เนื้อหาที่เราคิดว่าตรงกับเนื้อหาเว็บไซต์เรานั่นเองครับ
   แน่นอนว่าเว็บไซต์ที่ติดอันดับสูงๆใน Search Engine นั้นจะได้รับการเข้าชมจากผู้ใช้อินเตอร์เน็ต (“traffic”) ในจำนวนมากโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทำให้ผู้ที่เป็นเจ้าของเว็บไซต์แต่ละแห่งนั้นต้องการที่จะทำ SEO เว็บไซต์ตนเองให้ติดอันดับสูงๆ จนเกิดเป็นวงการผู้ประกอบอาชีพ SEO รับจ้างทำ SEO ให้เว็บไซต์ต่างๆอย่างมากมาย เพื่อให้คนสามารถค้นพบเว็บไซต์ตนเองได้เมื่อเขาทำการ “Search” โดยใช้คำพูด (“keywords”) ที่เกี่ยวข้อง ยกตัวอย่าเช่น หากเราเป็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์ เราก็คงจะต้องการให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับสูงๆ เมื่อมีคนค้นหาด้วยคำว่า “เฟอร์นิเจอร์” หรือ “ร้านขายเฟอร์นิเจอร์” เป็นต้น
   ทั้งนี้การทำ SEO หลักๆมีสองแบบ แบบที่หนึ่งคือการมีโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดี ซึ่งขึ้นอยู่กับการออกแบบเนื้อหาเว็บไซต์ และการเขียนโปรแกรมที่ดี ทำให้ crawler ของ Search Engine สามารถเข้าถึงเนื้อหาได้อย่างละเอียด ซึ่งก็เปรียบเสมือนการทำหนังสือหรือนิตยสารที่อ่านได้เข้าใจง่าย เป็นการคิดตั้งแต่ตอนทำเนื้อหา แล้วเมื่อตีพิมพ์บนเว็บไซต์ก็สามารถปล่อยให้ Search Engine พิจารณาต่อเอง
   ส่วน SEO อีกแบบนึงนั้น เป็น SEO ที่มักจะทำกันเป็นรายเดือนหรือต่อเนื่อง โดยเรียกกันว่าเป็นการ “ปั่น” เว็บ โดยจ้างผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO เป็นคนทำ โดยผู้เชี่ยวชาญนั้น จะมีความรู้ว่า Search Engine แต่ละที่นั้น ใช้ระบบตรรกะอะไรในการวัดความสำคัญของเว็บไซต์แต่ละเว็บไซต์ และจะใช้กลยุทธวิธีต่างๆจากตรรกะนี้ เพื่อให้เว็บไซต์เรานั้นติดอันดับสูงขึ้นๆรวดเร็วกว่าที่มันอาจจะควรจะเป็นตามปกติ (ตัวอย่างการ “ปั่น” ในอดีตที่ระบบตรรกะของ Search Engine ยังไม่ค่อยสมบูรณ์เหมือนทุกวันนี้คือ การที่ชาวต่างประเทศปั่นเว็บไซต์ของประธานธิปดี George W. Bush ให้ติดอันดับหนึ่งเมื่อมีคน Search คำว่า “Stupid” ใน Google)

   การทำ SEO แบบแรกนั้น เป็นการทำโดยอาจจะเสียแค่ค่าใช้จ่ายในตอนทำเว็บไซต์ แต่ไม่ต้องเสียต่อไปเมื่อทยอยทำเนื้อหาเว็บอย่างต่อเนื่อง  แต่การทำ SEO แบบที่สองนั้น เป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องทำต่อเนื่อง เพราะคล้ายๆกับเป็นการเกมระบบของ Search Engine ซึ่งตัว Search Engine นั้นก็จะทำการปรับตรรกะระบบเพื่อไม่ให้สามารถถูกเกมได้อยู๋ตลอดเวลา
   อย่างไรก็ตาม แท้จริงแล้ว SEO นั้นไม่ได้เป็นวิธีการหาผู้เข้าชมจาก Search Engine  เพียงวิธีเดียว เนื่องจากตัว Search Engine แต่ละแห่ง โดยเฉพาะ Google นั้น มีพื้นที่ให้คนลงโฆษณา โดยจะทำการขึ้นโฆษณาเมื่อมีคนใส่คำค้นหาที่เราได้ระบุไว้ ซึ่งการลงโฆษณาแบบนี้นั้น จะเรียกว่าเป็น “Search Engine Marketing” หรือ “SEM” นั่นเอง
   ค่าใช้จ่ายในการลงโฆษณานั้น จะขึ้นตามจำนวนการคลิกเข้ามาชมเว็บไซต์ของผู้เข้าชมเท่านั้น โดยราคาต่อคลิก (“Cost Per Click” หรือ “CPC”) นั้นจะถูกหรือแพงก็ขึ้นอยู่กับว่ามีคนต้องการลงโฆษณาเมื่อมีผู้ใช้ทำการค้นหาคำพูด (keywords) เดียวกันกับที่เราต้องการเยอะแค่ไหน หากเป็นคำพูดที่กว้างๆอย่าง “เฟอร์นิเจอร์” แล้ว ค่าใช้จ่ายก็มักจะแพง แต่หากเป็นคำเฉพาะทางอย่าง “เฟอร์นิเจอร์ไม้สัก” ราคาก็จะถูกลง และตรงต่อกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นด้วย
   อย่างไรก็ตาม หลายๆครั้ง เจ้าของเว็บไซต์จะทุ่มค่าใช้จ่ายไปกับการทำ SEO รายเดือนแทนที่จะทำ SEM เพราะเป็นความคิดส่วนตัวว่า การลงโฆษณานั้นไม่น่าจะได้ผล อาจเพราะตนเองมีนิสัยไม่ชอบคลิกคำโฆษณา หรือจ่ายค่า SEO จนลืมตัวและคิดไปว่า จริงๆแล้วเปลี่ยนงบมาจ่ายลงโฆษณาแบบ SEM อาจทำให้สามารถคุมค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น และได้ keywords ที่หลายๆคำกว่าก็เป็นไปได้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้เชี่ยวชาญทำ SEO นั้นก็ไม่ได้ถูกนัก
   จากประสบการณ์ของผมแล้ว SEO นั้น ก็เปรียบเสมือนเราส่งคนเข้าไปในกองผู้คนเพื่อให้พูดถึงและแนะนำสินค้าของเรา  ซึ่งจะสร้างกระแสได้ แต่หากคำพูดที่เราส่งไปนั้น ไม่เป็นไปตามที่คนทั่วไปเขาคิดจริงๆ ก็อาจส่งผลเสียกลับมา และยังต้องเสียค่าใช้จ่ายต่อเนื่องในการคอยส่งคนไปเพื่อไม่ให้กระแสตายลงอีกด้วย ต่างกับ SEM ที่เป็นเสมือนการใช้ Marketing Tools และ Marketing Channels ทั่วๆไป เพื่อให้คนสนใจ และเกิดกระแสตามธรรมชาติของมันเองมากกว่า
   อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้ว การทำ SEO และ SEM นั้น ก็เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการจะใช้เว็บไซต์เป็นช่องทางการค้าหรือช่องทางการประชาสัมพันธ์อย่างจริงจังทั้งคู่ จึงเป็นเรื่องที่ควรศึกษาและทำความเข้าใจเพิ่มเติมเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเลือกเส้นทางการเดินที่เหมาะกับธุรกิจของเราให้ได้ครับ
บริการสำหรับลูกค้าต้องการทำโฆษณา ติดหน้าแรก google/Facebook/IG และเรายังสามารถ รับสอน seo ขั้นพื้นฐานได้ และอยาก รับทำ seo เราก็จะจัดให้

Friday, September 21, 2018

Backlinks คือ ? สำคัญอย่างไรในการทำ SEO


การทำ SEO คืออะไร และ 3 เรื่องสำคัญที่ต้องเข้าใจ ไปแล้ว ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่ผู้เริ่มต้นศึกษา SEO ควรจะต้องรู้จักและเข้าใจ สรุปโดยย่อเป็น 3 เรื่องด้วยกันคือ
S : structure โครงสร้างของเว็บไซต์ที่จะต้องเป็น Search engine friendly
C : content เนื้อหาของเว็บไซต์ที่จะต้องมีความเป็นต้นฉบับและมีประโยชน์กับผู้อ่าน
B: backlink การมีลิงค์จากเว็บภายนอกลิงค์เข้ามาที่เว็บไซต์ของเรา
ซึ่งส่วนตัวแล้วสิ่งสำคัญที่สุดและเป็นพื้นฐานสำคัญคือ  การสร้าง Content หรือเนื้อหาในเว็บไซต์เรา เพราะสุดท้ายแล้วถ้าทุกอย่างดีหมด ไม่ว่าจะมี backlink กลับมาหาเราจำนวนมาก หรือมีโครงสร้างเว็บไซต์ที่เป็น SEO friendly แล้ว แต่หากเนื้อหาเป็นเนื้อหาที่ไม่ดีเกิดจากทำ spin หรือทำ spam keyword  หรือไปก๊อปปี้ใครมาแล้วส่วนอื่นจะดีอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นเรื่องที่สำคัญและส่วนตัวผมเองโฟกัสมาตลอดคือต้องทำ content ให้ดีที่สุดก่อนเป็นอย่างแรก เมื่อ Content และ Structure ของเว็บไซต์ดีแล้ว ส่วนสุดท้ายของการทำ SEO ก็คือ การสร้าง Backlink ซึ่งกำลังจะกล่าวถึงในบทความนี้
Backlink หรือ ลิงค์ที่ชี้กลับมาที่เว็บไซต์ของเรานั้น เป็นสิ่งที่บอก Google ให้รู้ว่าเนื้อหาของเว็บไซต์เราได้รับการยอมรับ และมีการทำเป็น referrence กลับมาให้จากเว็บไซต์อื่นๆ ซึ่งยิ่งมีจำนวนมากเท่าไร ก็มีโอกาสที่ Google ก็จะให้คะแนนกับหน้าๆ นั้นมากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความการมี backlink จำนวนมากแล้วจะดีเสมอไปนะครับ เพราะ Google ยังต้องดูเรื่องของคุณภาพของเว็บที่ลิงค์กลับมาหาเราด้วย รวมถึงยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ Google นำมาใช้ประกอบการจัดอันดับบนหน้า SERP (serach engine result page) ดังนั้นสิ่งที่เราต้องเข้าใจเบื้องต้นก่อน คือประเภทของ Backlink ชนิดต่างๆ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
  1. “Natural” Editorial Linksเป็น Backlink ที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อ ซึ่งเกิดจากเนื้อหาในเว็บของเราดีและมีประโยชน์ แล้วจึงมีเว็บไซต์อื่นทำการอ้างอิงเนื้อหา เขียนถึงและทำลิงค์กลับมาให้ ยิ่งถ้าหากเป็น Backlink ที่กลับมาจากกลุ่มเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือเช่น เว็บไซต์สถาบันการศึกษา เว็บไซต์ราชการ เว็บไซต์ wiki ต่างๆ และมีเนื้อหาที่สัมพันธ์กับเว็บไซต์ของเรา ก็จะมีโอกาสที่จะทำให้หน้านั้นของเราได้คะแนะที่ดีขึ้นในการจัดอันดับ
  2. Manual Link Buildingคือลิงค์ที่เราเป็นคนสร้างขึ้นเอง เช่น การไป submit เว็บไซต์ของเราตามเว็บ directory ต่างๆ หรือการไปขอแลกลิงค์กับเว็บอื่นๆ และรวมไปถึงการ  “ซื้อ” ลิงค์จากที่อื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะถ้าซื้อจากบริษัทรับทำ SEO ที่ไม่ได้คุณภาพ คำแนะนำสำหรับ manual link building คือ ถ้าหากต้องการสร้าง backlink ด้วยการ “ซื้อ” แล้ว ควรทำเป็นลักษณะซื้อบทความ editorial และมีลิงค์กลับมาที่เว็บของเรา ผ่านเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ ไม่ใช่พวก spam เว็บไซต์ หรือถ้าต้องการสร้าง Backlink เองแล้ว วิธีที่ง่ายที่สุด ก็อาจจะเริ่มด้วย Owned asset ก่อน เช่นการทำ Video content บน Youtube ที่มีลิงค์กลับมาที่เว็บไซต์ การสร้าง Social channels ต่างๆ รวมถึงการสร้างเว็บ Blogs ขึ้นมาเอง เป็นต้น
  3. Non-Editorialเป็นพวกลิงค์ที่กลับมาจากคอมเม้นท์ในเว็บไซต์ต่างๆ ที่ให้คนทั่วไปเข้าไปเขียนคอมเม้นท์ได้ใน Guestbook ซึ่งลิงค์ประเภทนี้เป็นลิงค์ที่ Google ให้ความสำคัญน้อยมาก บางเว็บอาจถึงขั้นจัดเป็น spam ได้ ดังนั้นแล้วการมี Backlink กลับมาจากเว็บกลุ่มนี้จำนวนมากๆ กลับเป็นเรื่องที่ควรต้องระวัง ซึ่งแต่ก่อนจะมีพวก automated tools ที่คนทำ SEO (สายดำ) ใช้เพื่อไปสร้าง comment และทำ backlink กลับมาเป็นจำนวนมหาศาล แต่เป็นวิธีที่ไม่แนะนำให้ทำอย่างยิ่ง ซึ่งก็ไม่น่าจะมีใครทำแล้วในปัจจุบัน
บริการสำหรับลูกค้าต้องการทำโฆษณา ติดหน้าแรก google/Facebook/IG และเรายังสามารถ รับสอน seo ขั้นพื้นฐานได้ และอยาก รับทำ seo เราก็จะจัดให้

Thursday, September 20, 2018

ทำไม SEO กับ Content ถึงเป็นของคู่กัน

ทำไม SEO กับ Content ถึงเป็นของคู่กัน


คนทำทุกคนล้วนคุ้นเคยกับคำว่า SEO หรือ Search Engine Optimization กันดีอยู่แล้ว แต่ก็อาจจะมีบางส่วนที่เริ่มสงสัยวาการทำ SEO นี่มันดีจริงๆหรอ? แล้วมันจำเป็นรึเปล่า วันนี้สีดามีคำตอบมาฝากค่ะ
ก่อนอื่นสีดาต้องบอกก่อนว่าสำหรับทีมทำคอนเทนท์แล้วนั้น สีดาอยากให้มองว่า SEO เป็นเหมือนเครื่องมือสนับสนุนการทำงานของเรา ซึ่งหากสามารถนำ SEO มาใช้งานร่วมกับบทความได้แล้วนั้นเป้าหมายทางการตลาดออนไลน์ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะไปถึง

SEO และทีมทำคอนเทนท์ต้องไปด้วยกันตั้งแต่เริ่มแรก

ในที่นี้คือ ทั้งทีมที่เขียนคอนเทนท์และคนทำ SEO จะต้องทำงานร่วมกันตั้งแรก ที่ไม่ใช่แค่การหาคีย์เวิร์ดเพื่อเอามาสร้างเป็นบทความ แต่ต้องเข้าใจถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจในคีย์เวิร์ดนั้นๆด้วย กล่าวคือ SEO ไม่ใช่แค่คีย์เวิร์ดหรือประโยคโดดๆ และการตลาดที่ใช้คอนเทนท์อย่างมีประสิทธิภาพก็มากกว่าแค่การสร้างบทความขึ้นมาเพื่อดึงทราฟิคให้ได้มากๆ

การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดจึงควรถูกนำมาใข้เพื่อศึกษาและเพื่อความเข้าใจเกี่ยวกับลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตรองเท้าควรมีเป้าหมายเพื่อให้ติดอันดับค้นหาจากคำค้นอย่าง “รองเท้าวิ่งที่ดีสำหรับคนเท้าแบน” หรือ “รองเท้าวิ่งที่ดีสำหรับคนวิ่งแบบ overpronation” มากกว่าที่จะรีบๆสร้างคอนเทนท์ขึ้นมาโดยทำแค่นำประโยคเหล่านี้มาใส่ไว้
การสร้างคอนเทนท์ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะที่จะเสียเงินทำ SEO ควรเริ่มสร้างจาก
  • อะไรคือสิ่งที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายกำลังมองหา
  • ปัญหาอะไรที่พวกเขาอยากให้คุณช่วยแก้
  • ข้อมูลที่พวกเขา (ลูกค้า) บอกเกี่ยวกับปัญหาและความต้องการคืออะไร

ใช้คอนเทนท์สร้างและเชื่อมความสัมพันธ์กับลูกค้า

คอนเทนท์ที่มีประสิทธิภาพไม่ควรแค่มีเนื้อหาครอบคลุมหัวข้อหรือกลุ่มคีย์เวิร์ดที่กำหนดไว้ แต่ควรจะสื่อสารกับผู้อ่านได้ในระดับที่พาพวกเขาเข้าไปดูหน้าอื่นๆบนเว็บไซต์ได้ด้วย
คอนเทนท์ไม่ควรยากหรือข้อมูลเยอะไปไกลเกินกว่าที่คนอ่านกำลังมองหา แต่ควรเป็นเนื้อหาที่ค่อยๆนำทางคนอ่านไปหาสิ่งที่ต้องการรู้ ซึ่งในระหว่างทางนั้นเราสามารถเพิ่มเติมข้อมูลที่เกี่ยวข้องเล็กๆน้อยๆที่เป็นประโบชน์เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับคอนเทนท์นั้นๆได้

เนื้อหาควรมีการพูดถึงปัญหาและทางแก้เอาไว้ด้วย แม้ว่าปัญหานั้นอาจจะยังไม่ได้มีการพูดถึงเป็นวงกว้าง แต่การกล่าวถึงปัญหานั้นเป็นการแสดงให้เห็นว่าคุณใส่ใจ ซึ่งช่วยเข้าถึงความรู้สึกของคนอ่านได้ดี และควรสร้างคอนเทนท์ในแต่ละหน้าบนเว็บไซต์ ให้เป็นคอนเทนท์ที่มีเนื้อหาและข้อมูลตรงกับหัวข้อความต้องการและปัญหาของผู้อ่านให้มากที่สุด และเนื้อหาควรครอบคลุมสิ่งที่พวกเขากำลังมองหา เช่น ผลิตภัณฑ์ หรือ การบริการ ปัญหา หรือ ทางแก้
อย่างที่เราได้เน้นย้ำไปแล้วว่าคอนเทนท์ควรเป็นที่จดจำและมีความโดดเด่น จนคนอ่านไม่สามารถมองข้ามไปได้

คอนเทนท์เจ๋งๆเมื่อรวมกับ SEO จะได้ผลลัพธ์ที่ดีจนคุณคาดไม่ถึง

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณใช้ SEO กับคอนเทนท์เจ๋งๆที่ตรงกับความต้องการของคนอ่าน คนที่เข้ามาอ่านเว็บไซต์ของคุณจะแทบรู้สึกแบบเดียวกันเลยว่าคุณ…เป็นพวกอ่านความคิดคนอื่นได้หรือยังไง? เพราะคอนเทนท์นั้นมันคือสิ่งที่พวกเขากำลังมองหาจริงๆ

แน่นอนว่ามันไม่ใช่พลังจิตหรือเวทมนต์อะไรหรอก แต่มันคือ การวิเคราะห์ SEO โดยการศึกษาคีย์เวิร์ดจากคนที่เข้ามาดูเว็บไซต์ การติดตามการใช้งานเว็บไซต์ของคนที่เข้ามา การใช้ข้อมูลที่วิเคราะห์มาแล้วในการศึกษาว่าพวกเขาใช้เวลานานเท่าไหร่ในแต่ละหน้าและหน้าไหนที่พวกเขาเข้ามาดูในครั้งต่อไป ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้คุณรู้ได้ว่าพวกเขากำลังมองหาอะไรอยู่ และในบางครั้งก็สามารถคาดการณ์คำถามได้ที่พวกเขากำลังจะถามและตอบมันได้ก่อนที่พวกเขาจะถามได้ด้วยซ้ำ
บริการสำหรับลูกค้าต้องการทำโฆษณา ติดหน้าแรก google/Facebook/IG และเรายังสามารถ รับสอน seo ขั้นพื้นฐานได้ และอยาก รับทำ seo เราก็จะจัดให้

Tuesday, September 18, 2018

SEO มีกี่ประเภท มีอะไรบ้าง

SEO มีกี่ประเภท มีอะไรบ้าง ?

กลับมาที่ความหมายของ SEO ตามภาษาชาวบ้านๆ SEO คือ การทำให้เว็บไซต์ของเราขึ้นอันดับต้นๆของผลการค้นหา Google (เนื่องจาก Yahoo และ  Bing ไม่เป็นที่นิยมซักเท่าไหร่ ขอเหมารวมว่า Search Engine ที่คนส่วนใหญ่ใช้คือ Google)

คำถามต่อไปคือ SEO มีกี่ประเภท และมีอะไรบ้าง? 
ในโลก SEO แบบเก่า เราจะแบ่งลักษณะของกระบวนการการจะทำให้เว็บไซต์ขึ้นอันดับต้นๆ หรือ SEO ออกเป็น 2 ลักษณะคือ SEO ทำบนเว็บไซต์ เช่นจัดการเนื้อหาภายในเว็บไซต์ให้ตรงตาม keyword เป้าหมาย เป็นต้น กระบวนการนี้เรียกว่า On-Page ส่วนการทำสิ่งต่างๆนอกเว็บไซต์แต่ให้มีอิทธิพลต่อเว็บไซต์ของเรา เช่นทำ backlink กระบวนการนี้เรียกว่า Off-Page SEO
เนื่องจากโลกออนไลน์มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว SEO ก็เช่นกัน เราจะติดอยู่ในโลกเก่าไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะหลังจากปี 2011 เป็นต้นมส Google Yahoo และ Bing มีการจับมือกันกำหนดนิยามข้อมูลใหม่ในรูปแบบ HTML เรียกว่า Schema สำหรับแทรกเขาไปใน HTML เพื่อให้ Google ดึงข้อมมูลจากเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น (วันหลังจะกลับมาพูดถึง Schema อีกครั้ง)  นอกจากนั้นแล้วมีการอับเดท Algorithms ของ Google อยู่ตลอดเวลา
อ้างอิงจาก Matt Cutt อดีตหัวหน้าทีมงานต่อต้าน สแปม ที่ Google กล่าวว่า Google มีการอับเดท Algorithm อย่างน้อย 1 ครั้งต่อวัน รวมทั้งปีจะมีการอับเดท Google อยู่ระหว่าง 300-500 ครั้ง  เพื่อให้รับมือกับการเปลียนแแปลงนี้ จึงมี SEO อีกประเภทใหม่เกิดขึ้นมาในกลุ่มของเว็บมาสเตอร์ และผู้เชี่ยวชาญในโลก Search Engine เรียกว่า Technical SEO
ดังนั้น SEO ในโลกใหม่จะประกอบไปด้วย SEO 3 ประเภท ดังนี้

1. ON-PAGE SEO

On Pag SEO คือกระบวนการปรับแต่ง แก้ไข หรือจัดการสิ่งต่างๆบนเว็บไซต์ของเราให้มีคุณสมบัติตามที่ Google ต้องการ เพื่อให้ดึงข้อมูลของเว็บของเราไปจัดเก็บไปเป็นผลการค้นหาให้มีประสิทธิภาพที่สุด เป็น SEO ที่เรามีอำนาจในการจัดมากที่สุดเพราะแทบจะทุกอย่างอยู่บนเว็บไซต์ของเราเอง

On-Page SEO มีส่วนประกอบดังนี้
  • เนื้อหา ต้องเป็นเนื้อหาที่ใหม่ ไม่ซ้ำใคร และให้คุณค่าแก่ผู้อ่าน
  • การจัดการคีย์เวิร์ด
  • โครงสร้างเว็บไซต์ว่ามีการจัดโครงสร้างให้ง่ายต่อการเข้าชมในแต่ละหน้าขนาดไหน
  • การให้ประสบการณ์ที่ดีกับผู้เข้าชม
  • ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์
  • โครงสร้าง HTML ว่าเป็นตามเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่
  • ลิงค์ภายใน
  • Title Tag
  • Meta Tag
  • Site Map
  • ขนาดตัวอักษรที่ใช้กับเนื้อหาในส่วนต่าง เช่น H1 H2 H3 หรือตัวหนา ตัวบาง  ตัวอักษรมีลิงค์ เป็นต้น
  • ขนาด ปริมาณ และความเหมาะสมของรูป
  • จำนวนหน้า Error ต้องมีน้อยที่สุด หรือเป็นศูนย์
  • ลิงค์ออกนอกเว็บ ต้องไม่มีลิงค์ตาย หรือลิงค์เปิดไปไม่มีหน้านั้นอยู่แล้ว

2. OFF-PAGE SEO

Off-Page SEO คือการจัดการปัจจัยภายนอกเพื่อให้ตำแหน่งผลการค้นหาของเราดีขึ้น เช่นลิงค์ภายนอกที่เข้ามายังเว็บ หรือที่เรียกว่า Backlink นั่นเอง หลายๆคนเข้าใจว่า Off-Page SEO ก็คือการทำ Backlink เข้ามาเท่านั้น จริงๆแล้วถูกเพียงแค่ครึ่งเดียว นอกจาก Backlink แล้วยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย
สรุปคร่าวๆของ Off-Page SEO ดังนี้
  • Backlink หรือลิงค์จากเว็บอื่นๆที่ชี้เข้ามายังเว็บไซต์ของเรา backlink เป็นหนึ่งปัจจัยที่สำคัญที่สุดของการค้นหาของ Google แต่ต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
    • ยิ่งมี backlink เข้ามาเยอะๆยิ่งดี แต่ต้องเป็น backlink ที่มีคุณภาพซึ่งก็คือเป็นลิงค์ที่มาจากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือ หากเป็นลิงค์ที่มาจากเว็บไซต์ที่เป็น spam ลิงค์ที่มาก็จะเป็น spam ด้วย จะทำให้มีผลต่อตำแหน่งผลการค้นหาเป็นอย่างมาก
    • การทำ Web Farm (คือการเปิดเว็บไซต์หลายๆเว็บไซต์ แล้วทำลิงค์มายังเว็บหลักเพื่อหวังให้เว็บไซต์มีน้ำหนักขึ้น) ใน พ.ศ. นี้แทบจะไม่มีผลอะไร ยิ่งทำเยอะอาจจะถูก Google มองว่าเป็น spam ลิงค์เข้าควรจะมาจากเน็ตเวิร์คอื่นๆ หลายๆที่
    • การซื้อ backlink ยิ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์เพราะลิงค์ที่เข้ามามักจะเป็นลิงค์ที่มาจากเว็บไซต์ในกลุ่มเดิมๆที่ลิงค์ไปยังเว็บไซต์ที่ซื้อ backlink นี้เช่นกัน
    • Backlink ของเว็บหนึ่งจะมีน้ำหนักเป็นอย่างมากหากเป็นลิงค์ที่มาจากเว็บไซต์ประเภทเดียวกัน เช่น backlink ของเว็บไซต์ท่องเทียว จะมีน้ำหนักมากเมื่อลิงค์มาจากเว็บไซต์ท่องเที่ยว หรืออยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน หากเป็นลิงค์จากเว็บขายอุปกรณ์เจาะผนังก็จะมีน้ำหนักน้อย และถ้าหากมีเยอะๆก็จะถูกมองว่าเป็น spam ด้วยเช่นกัน
    • Backlink ที่มีคุณภาพต้องเป็นลิงค์ธรรมชาติ ซึ่งหมายถึงเจ้าของเว็บอื่นเป็นคนทำลิงค์เข้ามาเอง โดยแทรกอยู่ในเนื้อหาทีมีลักษณะเดียวกับเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์ของเราที่ลิงค์นั้นชี้มา Google จะมองว่า backlink ที่มีคุณภาพคือลิงค์ที่เว็บหนึ่งแนะนำให้คนอื่นได้ไปศึกษาข้อมูลเพิ่ม หรือข้อมูลอ้างอิงจากอีกเว็บตามลิงค์ที่ให้ไป  ดังนั้นที่เราขอร้องให้เจ้าของเว็บไซต์อื่นทำลิงค์เข้ามาหรือที่เรียกว่าแลกลิงค์โดยไม่ได้มาจากหน้าที่มีเนื้อหาที่เหมือนกัน ก็สามารถทำได้ แต่ Google ก็จะมีน้ำหนักน้อยกว่ากรณีแรก

  • Social Media เป็นการกล่าวถึงเว็บไซต์ของเราในโซเชียลเน็ตเวิร์คต่างๆ อาจจะมองได้ว่าเป็น backlink ประเภทหนึ่ง ก็ว่าได้
  • Social Bookmarking คือเว็บไซต์ที่ให้บริการแก่ผู่ใช้งานท่องเว็บไซต์แล้วต้องการทำ Bookmark ไว้เพื่อแชร์ให้คนอื่นๆที่สนใจได้ติดตาม เช่นเว็บไซต์ดังต่อไปนี้ Delicious, Reddit, Pinterest, Stumbleupon และ Digg เป็นต้น จริงๆแล้วก็เป็น backlink ประเภทหนึ่ง แต่ Google จะมองในมุมมองที่แตกต่างว่าเป็นเนื้อหาที่มีการแชร์มีคนสนใจ และก็จะให้น้ำหนักและความสำคัญต่างกัน
  • ประสิทธิภาพของผู้ให้บริการเว็บไซต์ หรือ Hosting ต้องเป็นผู้ให้บริการที่มีเซิร์ฟเวอร์ที่เสถียร์ โหลดเร็ว ไม่ล่มบ่อย เพราะการที่เว็บล่มบ่อยๆจะมีผลต่อผลการค้นหาด้วย
  • ซอฟแวร์ที่ผู้ให้บริการเว็บไซต์ ต้องอับเดทอยู่เสมอ ระบบป้องกันไวรัสและการโจมตีจากบรรดาพวกแฮกเกอร์ (จริงๆต้องเรียกว่า “แครกเกอร์” ถึงจะถูกต้องตามความหมาย) เซิร์ฟเวอร์ที่ใช้บริการอยู่ไม่มีเว็บไซต์ หรือสคริปต์ที่เป็น spam ผังอยู่
  • IP ของเว็บไซต์ต้องไม่เป็น IP ที่อยู่ใน Back list ของเว็บไซต์ตรวจสอบความปลอดภัยบนอินเตอร์เน็ต หากพบว่า IP เป็น IP ที่อยู่ใน Back list ก็ต้องทำการเปลี่ยนหรือย้ายโดยด่วน

3. TECHNICAL SEO

Technical SEO มีลักษณะคล้ายๆกับ On-Page SEO มีเลย ก่อนหน้าเว็บมาสเตอร์หรือผู้เชี่ยวชาญด้าน Search Engine มองว่าวิธีการต่างๆด้านเทคนิคที่ทำบนเว็บ (ที่ไม่เกี่ยวกับการจัดการเนื้อหาหรือ content) เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆ เป็น On-Page SEO ทั้งหมด แต่หลังจากปี 2011 เป็นต้นมาการจัดการและปรับปรุงทางเทคนิคเริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น

ความหมายโดยสรุปแบบภาษาชาวบ้านของ Technical SEO คือวิธีการ หรือเทคนิคต่างๆที่ทำในเว็บไซต์ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดการนื้อหาในเว็บ เพื่อให้ Google มองโครงสร้างของเว็บไซต์ได้ง่าย และจัดเก็บข้อมูลเพื่อไปเป็นผลการค้นหา บางเทคนิคของ Technical SEO ก็จะมีเหลื่อมกับ On-Page อยู่บ้าง แต่ขอให้คิดแบบง่ายๆ ว่าอะไรก็ตามทีทำบนเว็บที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ไม่เกี่ยวกับคีเวิร์ด จะเป็นส่วนของ Technical SEO
ตัวอย่างของ Technical SEO คือ
  • การจัดการ ปรับปรุง แก้ไข เว็บไซต์ให้มีโครงสร้างตามกฏเกณฑ์ของ Schema ที่ระบุรายละเอียดใน www.schema.org
  • การจัดการ ปรับปรุง แก้ไข เว็บไซต์ให้มีลักษณะของ Structured Data (ข้อมูลโครงสร้าง) ตามที่ Google ต้องการ (ซึ่งก็คือหลักการเดียวกันกับที่ระบุใน schema.org แต่เน้นที่ Google)  วิธีการตรวจสอบว่าโครงสร้างของเว็บไซต์ของเราตรงตามที่ Google ต้องการ ก็ทำได้แสนง่าย แค่เข้าไปตรวจจากลิงค์นี้และใส่ URL ของเว็บเรา ผลออกมาจะต้องเป็น All good สามารถเข้าไปที่ https://developers.google.com/structured-data/testing-tool/
  • การมีลิงค์ที่อ่านง่ายชัดเจน
  • Robot.txt มีการตั้งค่าที่เหมาะสมให้ Google Bot เข้าถึงเว็บไซต์ของเราได้
  • มีโค๊ด HTML หรือ CSS หรือ Javascript ที่เรียบง่าย ไม่รกรุงรัง
  • มีการจัดการ โค๊ดของเว็บไซต์ให้มีเป็นแบบ Rich Snippets ส่วน Rich Snippets คือโค๊ด schema ที่แทรกใน HTML เพื่อระบุให้ Google เข้าใจมากขึ้นว่าเนื้อหาส่วนนี้หมายถึงอะไร เช่น คำว่า Avatar ถ้าปรกฏอยู่โดดๆ Google จะไม่รู้ว่ามันหมายถึงหนังแอนนิเมชั่นของเจมส์ คาเมรอน หรือว่าเป็น รูปที่เราใช้แสดงแทนตัวเราในคอมเมนต์หรือตอนที่เราเขียนเนื้อหาบนเว็บต่างๆ การมี Rich Snippets ในหน้าเว็บจะช่วย Google แยกตรงนี้ได้ดีกว่า
บริการสำหรับลูกค้าต้องการทำโฆษณา ติดหน้าแรก google/Facebook/IG และเรายังสามารถ รับสอน seo ขั้นพื้นฐานได้ และอยาก รับทำ seo เราก็จะจัดให้