Tuesday, January 29, 2019

เทคนิคสร้างการตลาดออนไลน์ให้ยอดขายพุ่ง! ปัง ปัง ปัง


เทคนิคสร้าง การตลาดออนไลน์ ให้ยอดขายพุ่ง! ปัง ปัง ปัง

ในสังคมที่โลกออนไลน์กำลังเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิตของคนรุ่นใหม่ ตั้งแต่ตื่นเช้าจนกระทั่งเข้านอน อีกทั้งความรวดเร็วและความสะดวกสบายของโลกออนไลน์ยังถูกนำมาใช้ประโยชน์กับกลุ่มคนทุกสาขาอาชีพ โดยเฉพาะการตลาดออนไลน์ ที่กำลังเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย เพราะสามารถทำให้ผู้อื่นรู้จักเราหรือสินค้าของเราได้อย่างกว้างขวาง

ในวันนี้เรามาดูวิธีที่จะสร้าง การตลาดออนไลน์ ให้ยอดขายเราพุ่งกระฉูดกันดีกว่า

1. สร้างความแตกต่าง

หนึ่งในวิธีการที่ดีที่สุดในการขายสินค้านั้นต้องหาความแตกต่างเพื่อที่จะดึงดูดใจลูกค้าให้มาชื่นชอบสินค้าเรา หรือไม่ดึงสิ่งที่เป็นตัวเราออกมาให้มากที่สุด ลองดูสิ สินค้าเหมือนกันแต่มีเอกลักษณ์ในการขายต่างกัน คุณว่าแบบไหนจะขายดีมากกว่า

2. เน้นการทำ SEO

เป็นการโปรโมทเว็บไซต์ให้ติดอันดับต้น ๆ ในการค้นหาด้วยการใช้ keyword เมื่อติดอันดับต้น ๆ แล้ว คนก็จะคลิกเข้ามาที่เว็บไซต์ของเรามากขึ้น โอกาสที่เว็บไซต์จะเป็นที่รู้จักก็มีมาก  ทำให้โอการที่สินค้าเราจะขายได้ก็มีมากเช่นกัน

3. ใช้ Social ให้คุ้มค่า

สังคมออนไลน์อย่าง facebook, twitter หรือ Instragram ที่รู้จักในเวลานี้ นับว่าเป็นช่องทางทำการตลาดทำให้คนรู้จักกันอย่างกว้างขวางและเป็นการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้เกิดการบอกต่อได้อย่างง่ายดาย

4. หมั่นสร้างแคมเปญให้ต่อเนื่อง

ลด แลก แจก แถม ควรจัดให้ลูกค้า อย่างสม่ำเสมอ เพราะมีการแข่งขันกันสูงในร้านค้าออนไลน์ต่างๆ ในหมวดสินค้าตัวเดียวกัน ดังนั้นในการขายเราจะต้องมีกลยุทธ์ในการเรียกลูกค้า เทคนิคเหล่านี้ก็จะถือเป็นข้อได้เปรียบกว่าร้านค้าออนไลน์อื่นๆ อย่างมากในการตัดสินใจเลือกช็อปสินค้าเรา

5. สร้างลูกค้าขาจรให้เป็นขาประจำ

ลูกค้าถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราต้อง สร้างความประทับใจในการซื้อขายให้กับลูกค้า ครั้งต่อไปเขาจะได้กลับมาซื้อร้านเราบ่อยๆ จนกลายเป็นลูกค้าขาประจำ เพราะหากลูกค้าเบี่ยงเบนความสนใจจากร้านคุณไปร้านอื่นแล้วคงยากที่จะเรียกกลับมา การรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าและสร้างความพึงพอใจนั้นเป็นสิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เพราะการหาลูกค้าใหม่นั้นยากกว่าการรักษาลูกค้าเก่าหลายเท่านัก

เป็นไงกันบ้างคะ อ่านมาถึงตรงนี้แล้วพอจะมีทางที่จะทำให้ยอดขายการตลาดออนไลน์ ของเราพุ่งกระฉูดได้หรือไม่ นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่นำเสนอให้อ่านกันเท่านั้นนะคะ เพราะบางคนอาจจะมีวิธีการสร้างหลัก การตลาดออนไลน์ ที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งที่ผู้ขายควรปฏิบัติอยู่เสมอเพื่อให้การขายของตัวเองมีประสิทธิภาพและเพิ่มยอดขายได้ คือ การสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า ทั้งระหว่างการซื้อขาย จากการให้บริการและคำแนะนำสินค้า รวมไปถึงการซื้อขาย ด้วยการให้บริการหลังการขายในรูปแบบต่างๆ ค่ะ
บริการสำหรับลูกค้าต้องการทำโฆษณา ติดหน้าแรก google/Facebook/IG และเรายังสามารถ รับสอน seo ขั้นพื้นฐานได้ และอยาก รับทำ seo เราก็จะจัดให้

Saturday, January 26, 2019

อนาคตของ social media marketing?


หลายคนบอกว่าอนาคตของ social media marketing จะเป็นอะไรไปได้นอกจาก Facebook, Twitter และ LinkedIn สันนิษฐานข้อนี้อาจไม่ผิด แต่รายละเอียดมีมากกว่านั้น และช่วงเวลานี้อาจเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการสำรวจทิศทางการเปลี่ยนแปลง เพื่อปรับตัวให้ทันการเติบโตที่จะเกิดขึ้นในไม่กี่ปีนับจากนี้
หนึ่งในอนาคตมาแรงของวงการ social media marketing คือ Facebook Messenger ปัจจุบันชาวโลกใช้งาน Facebook มากกว่า 2 พันล้านราย แพลตฟอร์ม Messenger จึงถือว่ามีอนาคตไกลจนอาจจะเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ทางการตลาดของหลายบริษัทในอีกหลายปีต่อไป
วันนี้ชาวโลกมากกว่า 1 พันล้านคนใช้งาน Facebook Messenger แล้ว ตัวเลขนี้สะท้อนว่า Facebook Messenger เป็นพื้นอุดมสมบูรณ์สำหรับโฆษณาวิดีโอ บอทแชท และ marketing interaction อื่น จุดนี้นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่า Messenger จะกลายเป็น “อีเมลของโลกใหม่” ที่ใช้งานแพร่หลาย
โฆษณาบน Messenger อาจทำงานเหมือนกับโฆษณาที่ปรากฏในฟีด Facebook นักการตลาดทุกคนสามารถเลือกผู้ชมที่ต้องการเข้าถึงตามสถานที่ ช่วงอายุ ความสนใจ และกิจกรรม แต่โฆษณาบน Messenger จะปรากฏโดยตรงในกล่องจดหมายหรือ inbox ของผู้ใช้ ซึ่งโอกาสทำการตลาดแบบส่วนบุคคลนี้เองที่จะเป็นความแตกต่างที่สำคัญ
อนาคตที่ 2 คือเนื้อหาหายวับไป
วันนี้เรารู้ดีว่าการตลาดใน Snapchat ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ความน่าทึ่งอยู่ที่พลังของข้อความที่หายวับไปได้ (disappearing message) จะเพื่อดึงดูดความสนใจหรือเพื่ออะไรก็แล้วแต่ นาทีนี้ทุกคนสัมผัสได้ว่าเทคนิค disappearing message หรือการทำให้โพสต์หายไปในเวลาที่กำหนดนั้นให้ความรู้สึกเร่งด่วนแตกต่างจากตัวเลือกการโฆษณาอื่น
พลังของ disappearing message ทำให้ความนิยมของ Snapchat มีความชัดเจน ส่งแรงกระเพื่อมให้ Facebook Stories, Instagram Stories และ WhatsApp Status แจ้งเกิดตามมาเป็นขบวน แพลตฟอร์มใหม่เหล่านี้เองที่กำลังทำให้โฆษณาที่ “หายวับไปในเวลาที่กำหนด” มีจำนวนมากขึ้นตามไปด้วย
ใครที่คิดไม่ตกว่าแพลตฟอร์มใดเหมาะสำหรับตัวเอง สามารถเริ่มต้นพิจารณาว่า Instagram Stories มีจำนวนผู้ใช้มากกว่า Snapchat แล้ว ซึ่งหมายถึงผู้ชมที่กว้างขึ้นสำหรับการทำการตลาด อย่างไรก็ตาม Snapchat ยังคงเป็นทางเลือกในการเจาะตลาด Generation Z และ millennials ดังนั้นจงเลือกให้ดีตามกลุ่มเป้าหมายที่อยากเข้าถึง
อนาคตที่ 3 คือวิดีโอบนสังคมออนไลน์
หากมอง Social media video วันนี้เราจะพบว่า YouTube ยังครองอันดับสูงสุด แต่นักการตลาดกำลังให้ความสำคัญกับ Facebook และ Twitter มากขึ้น เกือบครึ่งหนึ่ง (46 เปอร์เซ็นต์) ของนักการตลาดวางแผนที่จะเพิ่มวิดีโอ Facebook เพื่อเดินตามกลยุทธ์การตลาดของพวกเขาในปีนี้
จุดนี้สำนัก PRDaily สรุปว่าก่อนที่จะลงทุนอย่างหนักในงานสร้างคอนเทนต์วิดีโอ นักการตลาดควรคำนึงถึงปัจจัยอื่นด้วย โดยเฉพาะความจริงที่ว่าระยะเวลาความสนใจของชาวเน็ตนั้นหดสั้นลงทุกที (attention spans) ทำให้ Facebook และ YouTube สนับสนุนให้นักการตลาดทั่วโลกสร้างเรื่องราวที่สามารถสื่อสารได้ในเวลาไม่ถึง 6 วินาที แน่นอนว่าวิดีโอยาว ๆ จะยังคงมีอยู่ไม่ได้ตายไป แต่ถ้าคุณต้องการ engagement ระดับสูงสุด การทำเฉพาะโฆษณาวิดีโอสั้นก็ปลอดภัยดี
บทสรุปจากข่าวนี้ คือแนวโน้มการตลาดใน พ.ศ. นี้มีการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องรวดเร็ว แพลตฟอร์มร้อนในวันนี้อาจเป็นแพลตฟอร์มร้างในปีหน้าก็ได้ ดังนั้นเพื่อรักษาสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มเป้าหมาย วิธีการของนักการตลาดทุกคนจึงต้องมีวิวัฒนาการ ตามรสนิยมและความชอบของพวกเขาด้วย
บริการสำหรับลูกค้าต้องการทำโฆษณา ติดหน้าแรก google/Facebook/IG และเรายังสามารถ รับสอน seo ขั้นพื้นฐานได้ และอยาก รับทำ seo เราก็จะจัดให้

Friday, January 25, 2019

ศึกษาแนวทาง 3 เรื่องเพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จกัน กับ Social Media

ก่อนจะใช้ Social Media ทำตลาด ลองมาศึกษาแนวทาง 3 เรื่องเพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จกัน

Social Media ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram หรือ Line ต่างเป็นช่องทางในการทำตลาดที่สำคัญ แต่ถ้าจะใช้ช่องทางนี้ การคิดแบบเก่าคงไม่ได้ ดังนั้นลองมาศึกษา 3 กลยุทธ์หลักในการสร้างความสำเร็จผ่านช่องทางนี้กันดีกว่า

ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน

อย่างที่ “กีกี้ – ศักดิ์ นานา” บอกไว้ว่า เป้าหมายมีไว้พุ่งชน ดังนั้นการกำหนดเป้าหมายให้ได้ก่อน ถึงจะเจอความสำเร็จได้ ซึ่งเป้าหมายของการทำการตลาดผ่าน Social Media ก็คงไม่พ้นยอด Follower ที่เพิ่มขึ้น พร้อมสร้างความน่าสนใจให้กับสินค้า หรือบริการ ซึ่งจริงๆ ทั้งหมดนี้สามารถทำได้พร้อมๆ กัน เช่นการเพิ่มยอด Follower พร้อมดึงคนเหล่านั้นเข้าเว็บไซต์ได้อีกด้วย
แต่ทั้งหมดนี้อยู่ที่ว่าทำการตลาดอยู่บน Social Media แพลตฟอร์มใด และจะใช้เนื้อหาแบบไหนในการชักจูงใจผู้ใช้เหล่านั้นแบบไหน ที่สำคัญต้องอย่าลืมที่จะตรวจสอบผลลัพธ์เหล่านี้ด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องวางแผนไว้ตั้งแต่แรก ไม่ใช่การทำตลาดแล้วค่อยมาหาวิธีวัดผล เพราะไม่น่าใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก

กำหนดระยะเวลาให้แน่นอน

หลังจากกำหนดเป้าหมาย และตอบเรื่องแพลตฟอร์มของตนเองได้แล้ว การกำหนดระยะเวลาให้แน่นอนก็เป็นอีกเรื่องที่จำเป็นในการทำการตลาดบน Social Media เพราะแต่ละช่วงเวลาผู้ใช้ก็มีความรู้สึกต่างกัน เช่นหากเป็นช่วงหยุดยาว การใช้ก็อาจเพื่อความบันเทิง แต่ถ้าวันธรรมดาอาจใช้เพื่อติดตามข่าวสารต่างๆ
ในทางกลับกันการทำการตลาดบน Social Media ตามเทศกาลต่างๆ เช่น Valentine ที่ผ่านมาไม่นาน ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยสร้างแบรนด์ให้ติดตลาดอย่างรวดเร็วได้ แต่ทั้งนี้ผู้ที่ต้องการทำตลาดก็ต้องมีความไวพอสมควร เพื่อเกาะกระแสตามไปให้ได้ และถ้าทำได้จริง โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในแผนการตลาดต่างๆ ก็มีสูงขึ้น

อย่าลืมคำนวนต้นทุนกับผลลัพธ์

อย่างไรก็ตาม การลงทุนทำตลาดไม่ว่าจะช่องทางปกติ หรือ Social Media ต่างต้องคำนวนต้นทุน กับผลัพธ์ที่เกิดขึ้นเสมอ เพื่อวัดผลว่าการตลงทุนเหล่านั้นคุ้มค่าหรือไม่กับผลลัพธ์ที่ได้มาก ซึ่งปัจจุบันก็มีเครื่องมือจำนวนมากให้เลือกใช้ และหากทราบว่าผลลัพธ์ที่ได้มาน่าจะไม่ดีแน่ การเปลี่ยนแปลงแผนก็น่าจะเป็นเรื่องที่ทำได้ก่อนที่จะสูญเสียเงินไปมากกว่านี้
บริการสำหรับลูกค้าต้องการทำโฆษณา ติดหน้าแรก google/Facebook/IG และเรายังสามารถ รับสอน seo ขั้นพื้นฐานได้ และอยาก รับทำ seo เราก็จะจัดให้

Thursday, January 24, 2019

กลยุทธ์ใน Facebook ที่นักการตลาดควรใช้


Facebook เป็น Social Media ที่คนในประเทศไทยใช้เป็นอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว ด้วยตัวเลขที่ผู้ใช้มีมากกว่า 40 ล้านผู้ใช้ในตอนนี้ ทำให้ Facebook นี้เป็นเครื่องมือที่นักการตลาดใช้เป็นเครื่องมือหลัก ๆ ในการที่จะติดต่อสื่อสาร พร้อมกับการสร้างฐานแฟนของตัวเองขึ้นกับผู้บริโภค ดังนั้นการทำการตลาดผ่าน Facebook นั้นเรียกได้ว่าเป็นเรื่องพื้นฐานที่จำเป็นอย่างมากที่นักการตลาดต้องทำในตอนนี้
เพื่อที่จะสามารถทำการตลาดบน Facebook ได้มีประสิทธิภาพ ก็ต้องมีการวางแผนกลยุทธ์ต่าง ๆ ขึ้นมา ซึ่งก็เป็นเรื่องท้าทายอย่างมากสำหรับนักการตลาดที่ต้องทำ เพราะเต็มไปด้วยอุปสรรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแย่งชิงความสนใจของกลุ่มเป้าหมายด้วยกันเอง การแข่งกับคู่แข่ง การที่ต้องพยายามสร้างปฏิสัมพันธ์ และยังไม่รวมถึงการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่ Facebook พยายามทำเพื่อบีบให้นักการตลาดต้องซื้อโฆษณามากขึ้น แต่หากทำสำเร็จผลตอบแทนก็คุ้มค่าอย่างแน่นอน ทั้งนี้เพื่อที่จะทำการตลาดบน Facebook ให้สำเร็จได้ การเข้าใจการวางกลยุทธ์และทำกลยุทธ์ที่สามารถช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้จึงจำเป็น ซึ่งวันนี้ผมมี 5 กลยุทธ์ที่ควรใช้ในการทำ  Facebook ที่นักการตลาดควรลองดู
1. สร้าง Warm Lead จาก Cold Lead : ก่อนอื่นสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับคำว่า Cold Lead และ Warm Lead ต้องอธิบายกันเล็กน้อย เพราะนี้เป็นแนวคิดในการทำการตลาดที่ B2B ใช้เป็นส่วนใหญ่ โดย Cold Lead คือกลุ่มคนที่ไม่เคยรู้จักหรือสนใจแบรนด์คุณมาก่อน และ Warm Lead คือกลุ่มคนที่รู้จักและเริ่มปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์คุณแล้ว ดังนั้นการที่จะสร้าง Warm Lead จาก Cold Lead นั้น เราจะใช้วิธีการที่เรียกว่า Lead Nurturing
ที่มาจาก https://www.fieldboom.com/blog/how-to-qualify-leads/
ที่มาจาก https://www.fieldboom.com/blog/how-to-qualify-leads/
กระบวนการสร้าง Lead Nurturing ที่จะทำ Warm Lead จาก Cold Lead เริ่มจากการเข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายใน Cold Lead นั้นเป็นใคร ใช้ชีวิตอย่างไร มีพฤติกรรมแบบไหนและอะไรที่เป็นปัญหาหรือความกังวลใจของกลุ่มนี้ที่แบรนด์เราจะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาได้ หลังจากนั้นคือการสร้างเนื้อหาที่จะเข้าไปจับความสนใจของกลุ่มเป้าหมายนี้ผ่านโฆษณาหรือวิธีการประชาสัมพันธ์อื่น ๆ  โดยสร้างช่องทางให้ติดต่อหรือปฏิสัมพันธ์กลับ ซึ่งเมื่อกลุ่มดังกล่าวจะปฏิสัมพันธ์กลับนั้นจะกลายเป็น Warm Lead ได้อย่างทันที
2. ทำการสร้าง Offer : อีกวิธีการหนึ่งที่น่าสนใจคือการสร้าง Offer ให้กับกลุ่มคน Cold Lead เลย หรือสร้างการปิดการขายโดยทันที โดยไม่ให้ข้อมูลอะไรนอกจากสิทธิพิเศษใน Offer นั้นเลย ซึ่งวิธีการนี้ไม่ต่างอะไรจากการที่แจกใบปลิวลดราคาให้กลุ่มคนที่เดินผ่านไปมา ซึ่งเค้าสามารถจะกลายเป็นลูกค้าได้ทันทีถ้าสนใจในสินค้าลดราคาที่ทำการนำเสนออยู่
ที่มา Ignite Social Media

ทั้งนี้นักการตลาดอาจจะสร้าง Offer ให้กับกลุ่มเป้าหมายที่สนใจขึ้นมาได้ โดยการทำโฆษณาแบบ Offer ให้กลุ่มเป้าหมายที่มีความชอบในสิ่งที่คุณทำขึ้นมา หลังจากนั้นทำการ Retargeting คนกลุ่มนี้ด้วยสิทธิพิเศษต่าง ๆ หากมีความสนใจใน Offer นั้น ๆ แต่ยังไม่ได้ซื้อขึ้นมา ด้วยวิธีการนี้จะทำให้คุณได้ลูกค้าขึ้นมาอย่างทันที
3.  ใช้ลูกค้าเก่าให้เป็นประโยชน์ : สิ่งหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมากในการทำการตลาดบน Facebook คือกลุ่มคนที่ซื้อสินค้าของคุณไปแล้ว เพราะกลุ่มลูกค้าเก่านี้มีสิทธิ์ที่จะมาซื้อสินค้าของคุณอีก ถ้าสินค้าของคุณให้ประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานหรือใช้บริการ ดังนั้นการขายให้กับคนกลุ่มนี้ไม่ต้องใช้การเล่าเรื่องหรืออธิบายมากว่าทำไมต้องมาซื้อคุณ เพราะลูกค้าเองต่างเข้าใจและตัดสินใจในการใช้สินค้าและบริการของคุณไปแล้ว
ที่มา Clickable

ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องมีเพื่อพยายามขายกับคนกลุ่มนี้อีกรอบคือการที่มี Data ของลูกค้าไว้ในมือ ไม่ว่าจะเป็นชื่อ เบอร์โทร และอีเมล์ สิ่งเหล่านี้สามารถนำมาทำโฆษณาที่สามารถยิ่งเฉพาะเจาะจงที่เรียกว่า Custom Audience ได้ขึ้นมา ซึ่งทำให้ลูกค้าเก่าเห็นว่ามีสิทธิพิเศษสำหรับตัวเอง และมีสิทธิ์สูงที่จะกลับมาซื้ออีกด้วย
4. สร้างความสัมพันธ์ระยะยืนยาวกับแฟน ๆ : สิ่งหนึ่งที่สามารถช่วยได้และทำให้คนที่ติดตามคุณนั้นกลายเป็นลูกค้าคุณก็คือ การสร้างแบรนด์ ลองนึกถึง Top of mind ในสินค้าต่าง ๆ ที่คุณรู้จัก ในบรรดา Top of mind เหล่านั้นเป็นแบรนด์สินค้าที่คุณจะเลือกใช้แรก ๆ เวลาต้องซื้อสินค้า ดังนั้นการสร้างแบรนด์ที่จะทำให้กลุ่มเป้าหมายจดจำเอาไว้ให้ได้ว่า เมื่อนึกถึงสินค้าประเภทนี้ ให้นึกถึงคุณจะเป็นเรื่องสำคัญ
yr3
เพราะฉะนั้นการทำ Content ที่ทำให้เกิดความน่าสนใจไม่ว่าจะเป็น Online Video, Infographic, Photo Album และ Creative Content ต่าง ๆ รวมถึงโฆษณา สิ่งเหล่านี้จะต้องถูกวางแผนว่าแต่ละ Content จะสร้างการรู้จักแบรนด์คุณได้อย่างไร รวมทั้งทำให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจในข้อความทางการตลาดที่คุณจะสื่อเข้าไปอีกด้วย
5. ทำแคมเปญทดลองแจกฟรี : วิธีการนี้เป็นวิธีการที่ทำให้เห็นผลลัพธ์ที่เร็วที่สุดขึ้นมาด้วยการใช้โฆษณาทาง Facebook ในการจับกลุ่มเป้าหมาย เพราะทุก ๆ คนนั้นต่างก็ชอบอะไรที่ได้มาฟรี หรือได้ทดลองใช้ และทำให้เมื่อได้ลองใช้ก็อาจจะเกิดการติดใจจนมาซื้อสินค้าหรือกลายเป็นลูกค้าจริง ๆ ขึ้นมาได้ ซึ่งในต่างประเทศเองนั้นมองว่าวิธีดีอย่างมากแม้ว่าจะไม่ได้ลูกค้ากลับมาเลย เพราะคนที่ได้สินค้าคุณไปลองต่างก็ต้องมีประสบการณ์ที่ดี และเมื่อต้องไปแนะนำใครก็อาจจะแนะนำแบรนด์คุณเป็นแบรนด์แรกให้คนอื่นไปลองก็ได้
main-qimg-facb8c968673cec7a0a6da4b11192883-c

ทั้งนี้การทำแคมเปญทดลองแจกฟรีเหล่านี้จะเป็นเหยื่อในการได้ลูกค้ามาอย่างดี ถ้าสินค้าของคุณนั้นดีจริงก็สามารถทำให้เกิดลูกค้าได้ทันทีอย่างมาก ทั้งนี้สิ่งที่คุณควรต้องมีคือการรู้ว่าลูกค้าของคุณคือใคร และอยู่ที่ไหน และจะทำการแจกฟรีได้อย่างไร แล้วได้ลูกค้ามาแล้วจะทำการเก็บ Data พร้อมเอามาใช้ต่อได้อย่างไรขึ้นมา ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถนำไปต่อยอดได้อย่างมากมาย
5 วิธีการที่นำเสนอนี้ต่างเป็นวิธีการขั้นต้นที่นักการตลาดที่ทำการตลาดบน Facebook ต่างก็สามารถเอาไปใช้ได้อย่างทันที และสามารถได้ Data หลาย ๆ อย่างเอาไปทำ Data Marketing ต่อได้ด้วย ซึ่งใครที่ยังไม่มี Data ลูกค้าตัวเอง การใช้ 5 วิธีเหล่านี้ก็ไม่เลวเช่นกัน
บริการสำหรับลูกค้าต้องการทำโฆษณา ติดหน้าแรก google/Facebook/IG และเรายังสามารถ รับสอน seo ขั้นพื้นฐานได้ และอยาก รับทำ seo เราก็จะจัดให้

Wednesday, January 23, 2019

5 เคล็ดลับทำ Online Marketing


  1. เนื้อหา Content ที่โพสลงไป ควรจะสั้น กระชับ น่าอ่าน มีคุณภาพและเข้าใจง่าย เพราะเนื้อหาที่ดีจะช่วยดึงดูดคนให้เข้ามาติดตามคุณได้มากขึ้นอย่างแน่นอน และยังสามารถใช้สร้างความน่าเชื่อถือให้กับคุณได้อีกทางหนึ่งด้วย เพราะ Content ที่ดี ก็เหมือนกับกระบอกเสียงในโลกออนไลน์ที่จะทำให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักและเรียกให้คนสนใจแวะเวียนเข้ามา
  2. ใช้เทคนิคต่างๆ เกี่ยวกับทำ SEO เข้าช่วย เช่น ปรับโครงสร้างลิงค์ให้สอดคล้องกับการทำงานของ SEO มากขึ้นหรือจัดการ Backlink จากเว็บไซต์อื่นๆ ให้ดีกว่าเดิม เพื่อให้การทำ online marketing เห็นผลได้ไวยิ่งขึ้น และติดอันดับการค้นหาได้อย่างที่ต้องการ
  3. ปรับแต่งเว็บไซต์ของเราให้สวยงามน่าใช้ ทำงานได้เสถียร ตรงตามมาตรฐานและรองรับการใช้งานผ่านมือถือได้ เพราะลูกค้าของเราในยุคนี้ ไม่ว่าใครก็เปิดดูสินค้าหรือข่าวสารต่างๆ ผ่านมือถือด้วยกันทั้งนั้น ถ้าสามารถทำให้เว็บไซต์หรือหน้าเพจของคุณเข้าถึงผ่านมือถือได้ง่ายๆ และสั่งซื้อได้อย่างสบาย ก็มีโอกาสทำยอดขายได้มากอย่างแน่นอน
  4. ไม่ละเลยการโฆษณาสินค้าและทำ online marketing ผ่าน Social Media เพราะทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่ต่างก็ใช้เวลาไปกับ Facebook Line Youtube หรือ Social Media ต่างๆ ด้วยกันทั้งนั้น การทำการตลาดออนไลน์ผ่านสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ เหล่านี้ จึงสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่คุณต้องการได้เป็นอย่างดี และยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกับการทำ SEO เพื่อเพิ่มโอกาสในการพบเห็นได้มากขึ้นอีกด้วย
  5. ใช้เครื่องมือการทำ online marketing ต่างๆ ให้เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นตัวช่วยจาก Google Facebook หรือ Line ต่างก็มีส่วนช่วยคุณได้ทั้งนั้น ถ้ารู้จักการปรับใช้ให้เข้ากับธุรกิจออนไลน์ของตัวเองให้มากที่สุด ก็สามารถสร้างยอดขายให้คุณได้มากอย่างแน่นอน
บริการสำหรับลูกค้าต้องการทำโฆษณา ติดหน้าแรก google/Facebook/IG และเรายังสามารถ รับสอน seo ขั้นพื้นฐานได้ และอยาก รับทำ seo เราก็จะจัดให้


Tuesday, January 22, 2019

Facebook Marketing


Facebook Marketing 101: มาเริ่มทำการตลาดบน Facebook ให้ถูกต้องกันเถอะ

เรามาดูกันไปทีละส่วนนะครับ

1. เกี่ยวกับ Facebook Page ในเบื้องต้น

เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดเกี่ยวกับการทำการตลาดผ่าน Facebook และเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ผมเห็นรอยรั่วจาก Page ต่างๆ เยอะที่สุดเช่นกัน
สาเหตุก็เป็นเพราะ Page ของหลายๆ ที่นั้นไม่ได้ถูก “Optimize”
คำว่า Optimize คือการทำให้สิ่งต่างๆ เช่น Profile Picture, Cover Image, Description, Tab หรือการตั้งค่า Audience ถูกตั้งค่า จัดแสดง หรือถูกวางไว้ให้เหมาะสมกับแบรนด์
ผมแนะนำให้คุณไปอ่านเพิ่มเติมในโพสต์นี้ของ Jon Loomer ที่ว่าด้วยเรื่องของขนาดที่เหมาะสมของรูปภาพบน Facebook และโพสต์นี้ที่ว่าด้วยเรื่องของวิธีการ Optimize Facebook Page ของ Social Media Examiner ครับ

2. วิธีการใช้งาน Page

ในหัวข้อนี้ผมขอแบ่งง่ายๆ เป็น 2 ขั้นแล้วกันนะครับ
ขั้นแรกคือ Page ของบริษัทไซส์เล็กๆ
ขั้นนี้จะเป็นกลุ่มที่ยังไม่มีสภาพคล่องมากนัก และการอยู่รอดของแบรนด์นั้นขึ้นอยู่กับการขายของให้ได้เป็นหลัก
Facebook Page ของบริษัทกลุ่มนี้อาจจะต้องทำการเน้นการขายเป็นหลัก (การทำคอนเทนต์เพื่อส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าก็ยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่อาจจะต้องพิจารณาดูว่าอะไรคือสิ่งที่ควรจะต้องโฟกัสก่อน) บริษัทในกลุ่มนี้อาจจะใช้ Facebook เป็น “ฐานทัพ” ไปก่อนเลยก็ได้ เครื่องมืออื่นๆ เช่นเว็บไซต์ อาจจะยังไม่มีความจำเป็นมาก (หรือจริงๆ ไม่ควรมีเลยด้วยซ้ำ เพราะจะทำให้บริหารจัดการยาก)
และเนื่องจากว่า Reach บน Facebook นั้นถูกกดให้ต่ำลงเรื่อยๆ (จากปริมาณคอนเทนต์ที่มากขึ้นเรื่อยๆ) การโน้มน้าวให้ผู้ติดตามนั้นกด See First น่าจะหนึ่งในสิ่งที่ควรทำกับ Facebook Page
Shifu แนะนำ
เมื่อใดก็ตามที่ผู้ติดตามของคุณกด See First บน Page ของคุณแล้ว เมื่อคุณโพสต์อะไรใหม่ๆ ลงไป คนเหล่านั้นจะเห็นโพสต์ของคุณเป็นลำดับแรกๆ
ขั้นที่สองคือ Page ของบริษัทที่เริ่มเติบโต
บริษัทที่อยู่ในขั้นนี้เริ่มมีสภาพคล่อง เริ่มมีเงินมาใช้ในการสร้างแบรนด์ นอกจากเรื่องการขายแล้ว เรื่องการสร้างแบรนด์ให้เติบโตในระยะยาวก็เป็นสิ่งสำคัญ
สำหรับบริษัทที่เข้าข่ายนี้ ผมแนะนำให้ว่าให้มอง Facebook Page เป็น “แขนขา” ไม่ใช่ “ฐานทัพ” และใช้ Facebook Page เพื่อดึง Traffic เข้าไปยังช่องทางของตัวเองอย่างเช่นเว็บไซต์ หรือใช้ Facebook Page ในการเก็บข้อมูลของลูกค้าของคุณ
สาเหตุที่ผมแนะนำอย่างนี้ก็เป็นเพราะบ้านเช่ายังไงก็เป็นบ้างเช่า บน Facebook คุณจะไม่ได้เป็นเจ้าของช่องทางการติดต่อจริงๆ กับลูกค้าของคุณ ซึ่งผมมองว่าการใช้แต่ Facebook เป็นการทำธุรกิจที่ไม่ยั่งยืนครับ
จริงๆ ผมเคยเขียนเรื่องนี้ไปแล้ว อยากให้คุณลองไปอ่านบทความเหตุผลที่ไม่ควรพึ่งแต่โซเชียลมีเดียในการทำธุรกิจ และเหตุผลที่ต้องมีเว็บไซต์ ดูนะครับ
บริษัทของคุณอยู่ในขั้นไหนก็ใช้ Facebook Page ให้เหมาะกับขั้นนั้นนะครับ

3. วิธีการซื้อโฆษณา

ปัจจุบันมีคนใช้ Facebook ในการทำธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้ Facebook มีพลัง และมีแต้มต่อรองมากขึ้น ซึ่งมันก็ส่งผลให้ค่าโฆษณาแพงขึ้นด้วยเช่นกัน
สิ่งที่ผมจะสื่อก็คือการที่คุณจะอัดงบยิงโฆษณาผ่าน Facebook แบบหว่านแห ให้เข้าถึงคนมากๆ แล้วจะได้ผลตอบแทนกลับมาถล่มทลายนั้นมันเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
การซื้อโฆษณาบน Facebook นั้นจำเป็นต้องมีการ Optimize เช่นเดียวกับการบริหาร Facebook Page โดยที่วิธีเบื้องต้นที่ผมอยากแนะนำก็คือการใช้เว็บไซต์ให้เป็นประโยชน์
ถ้าคุณมีเว็บไซต์ สิ่งที่คุณต้องทำก็คือติด Facebook Pixel เพื่อที่ว่าคุณจะได้สามารถยิงโฆษณาหาคนที่เคยเข้าไปยังเว็บไซต์ของคุณได้

4. เกี่ยวกับข้อมูล

ดังคำกล่าวที่ว่า Information is Power
ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้เป็นเจ้าของข้อมูลลูกค้าของคุณโดยตรงเมื่อใช้ Facebook แต่ Facebook ก็ให้ข้อมูลกับคุณเพื่อนำมาวิเคราะห์ต่อได้ละเอียดในระดับนึง
วิธีการดูข้อมูลที่ Facebook ให้กับคุณสามารถทำได้ง่ายๆ โดยการกดปุ่ม Insights ใน Facebook Page ของคุณ ซึ่ง Facebook จะให้ข้อมูลกว้างๆ แบบไม่ระบุตัวตนมาให้กับคุณค่อนข้างละเอียดเช่นข้อมูลเกี่ยวกับ Reach, Like, Engagement, Demographic และอื่นๆ อีกเยอะพอสมควร
ผมแนะนำว่าให้ลองเอาข้อมูลเหล่านี้มานั่งวิเคราะห์ดูนะครับ ผมเชื่อว่าถ้าคุณวิเคราะห์ และเอามาเรียนรู้ คุณจะสามารถใช้ Facebook ในการทำการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นแน่นอน

5. การใช้เครื่องมือ

เมื่อคุณมีแผนการ Strategy และเทคนิค (Technique) ที่ดีในการทำ Facebook แล้ว สิ่งต่อมาที่ผมแนะนำให้คุณพิจารณาใช้ก็คือเครื่องมือจัดการ Facebook ครับ เครื่องมือหลายๆ ตัว ถ้าคุณใช้เป็น มันจะช่วยให้คุณจัดการ Facebook ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เช่นถ้าคุณขายของออนไลน์ ลองใช้เครื่องมืออย่าง Page365 หรือ Sellsuki ดู หรือถ้าคุณต้องจัดการ Social Media เป็นจำนวนมาก ผมแนะนำให้ลองไปดูเครื่องมือของต่างประเทศเช่น Buffer หรือ Hootsuite
แน่นอนว่าเครื่องมือเหล่านี้มีค่าใช้จ่าย แต่ผมคิดว่าค่าใช้จ่ายแค่หลักร้อย หรือหลักพัน มันคุ้มมากๆ เมื่อแลกกับสิ่งที่มีค่ามากกว่า “เงิน” ซึ่งสิ่งนั้นคือ “เวลา” ครับ

สรุป

และนี่ก็คือวิธีการทำการตลาดบน Facebook แบบพื้นฐานนะครับ
Facebook เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่เจ๋งที่สุดในยุคนี้ที่ช่วยให้คนตัวเล็กๆ อย่างคุณ และผมสามารถสร้างธุรกิจให้เติบโตได้ แต่อย่าลืมว่า Facebook ไม่ได้ช่วยแค่คุณ แต่ Facebook ก็ช่วยคนอื่นๆ เช่นกัน นอกจากนั้นแล้วต่อให้ Facebook จะเจ๋งยังไง สุดท้ายคุณก็ไม่ใช่เจ้าของอยู่ดี
ใช้มันให้ดี ใช้มันให้เป็น เพื่อให้ Facebook ช่วยสนับสนุนธุรกิจของคุณให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนนะครับ : )
บริการสำหรับลูกค้าต้องการทำโฆษณา ติดหน้าแรก google/Facebook/IG และเรายังสามารถ รับสอน seo ขั้นพื้นฐานได้ และอยาก รับทำ seo เราก็จะจัดให้

Monday, January 21, 2019

การตลาดออนไลน์ – อะไรคือ Google SEO? และต่างอย่างไรกับ Google Ads?


การตลาดออนไลน์ – อะไรคือ Google SEO? และต่างอย่างไรกับ Google Ads?

การตลาดออนไลน์ กับ PM:AM Digital Marketing ตอน อยากอันดับขึ้นใน Google แต่ไม่เข้าใจ! อะไรคือ Google SEO? แล้ว Google Ads คืออะไร? ทำไมต้องทำ 2 อันนี้อันดับคำเราถึงจะขึ้น?
ยุคนี้ใครๆก็บอกว่าต้องทำการตลาดออนไลน์ โดยการทำเว็บให้ขึ้นอันดับต้นๆใน Google คนจะได้เห็นเราก่อน เลือกเราก่อน ผลที่ตามมากก็คือ ยอดขายดี
แต่พอจะเริ่มคิดว่าอยากทำการตลาดออนไลน์ โดยการดันเว็บไซต์ให้อันดับขึ้นเท่านั้นแหละ คำว่า “SEO” กับ “AdWords” ก็มาทันที แล้วต้องเริ่มยังไง เลือกทำยังไงหล่ะทีนี้
PM:AM Digital Marketing กับบล็อกการตลาดออนไลน์มีคำตอบ เคลียร์ชัดทุกประเด็นไปเลย!!!
มาเริ่มกัน…..
ตอนนี้อยากให้เริ่มคิดจินตนาการถึงห้องสมุดที่เราเคยไปยืมหนังสือ เราต้องไปไล่หาตามเชลหนังสือด้วยKeywordของเรื่องหรือหัวข้อที่เราต้องการ ง่ายกว่านั้นคือเราเดินไปหา “บรรณารักษ์”
Google เปรียบเสมือน “บรรณารักษ์” ที่เราสามารถเดินไปแล้วถามว่า “อยากรู้เรื่องนี้ต้องไปหาตรงไหน?” เขาก็จะบอกมาว่าหนังสือหรือข่าวอยู่ตรงไหน เราก็อาจจะถามต่อว่า “เล่มไหนดี?” คิดง่ายๆแบบ common sense เลย บรรณารักษ์ก็จะเลือกตอบหนังสือที่เขารู้จัก หรือมีคนยืมบ่อยๆ ไม่ก็หนังสือที่มีชื่อชัดเจน ตรงเรื่องไปเลย
ถึงตรงนี้แหละที่ Google SEO และ Google Ads เข้ามาทำงานเพื่อเป็นระบบความคิดให้บรรณารักษ์ที่ชื่อว่า Google
คิดซะว่าบรรณารักษ์คนนี้เป็นคนดี อ่านหนังสือหมดทุกเล่มในห้องสมุด จะแนะนำให้คนอ่านก็เฉพาะหนังสือที่ดี ดีคือ
– มีเนื้อหาที่ดี เกี่ยวเนื่องกับเรื่องหรือชื่อหนังสือที่ชัดเจน อ่านง่าย
– มีรูปสวยงาม
– มี Layout ดี
– มีการใส่ reference ที่ถูกต้อง เนื้อหาไม่ได้ไปก้อปปี้ใครเขามา
– มีการดึงข้อมูลที่น่าเชื่อถือมาเขียนในหนังสือ
*อย่างงี้เขาเรียกว่าบรรณารักษ์ชื่อ Google ใช้ระบบ SEO ในระบบความคิด
แต่ถ้าบรรณารักษ์ได้รับเงินเพราะคนเขียนหนังสือไปให้คําแนะนำไว้ ว่าถ้ามีคนมาหาเรื่องนี้แนะนำหนังสือผมนะ ผมจะให้% หรือให้เงินค่าแนะนำ
*อย่างงี้เข้าเรียกว่าบรรณารักษ์ Google ใช้ “Google Ads” ในระบบความคิด
แต่ลองคิดว่าในโลกแห่งความเป็นจริง คนเขียนหนังสือเยอะมาก ทุกคนก็อยากขายหนังสือของตัวเอง คนเขียนหนังสือก็เลยพยายามจะจ่ายบรรณารักษณ์ให้แนะนำหนังสือของตัวเอง โดยเสนอค่าตอบแทนให้บรรณารักษ์เยอะๆ พอเป็นแบบนี้แล้วใครให้เงินบรรณารักษ์มากที่สุด บรรณารักษ์ก็จะอยากแนะนำหนังสือของผู้เขียนคนนั้นเป็นอันดับต้นๆ แล้วถ้าให้เงินเท่ากันละ บรรณารักษ์ก็จะอยากแนะนำหนังสือที่ดีกว่า ทั้งคุณภาพเนื้อหาและรูปภาพ นี้คือเหตุผลว่าการทำ Google Ads บางครั้งเงินมากกว่าก็ชนะได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าชนะเสมอไป
ข้อแตกต่างระหว่างการทำ การตลาดออนไลน์ Adwords กับ SEO
น่าจะพอเข้าใจกันคร่าวๆไม่มากก็น้อยว่าการตลาดออนไลน์โดยใช้ Google Search คืออะไร คราวหน้าจะมาต่อในเรื่องลึกๆของ Google SEO และ Google Ads ให้เข้าใจในระบบมากขึ้น และจะได้เลือกถูกว่าควรใช้อันไหนมากกว่ากัน หรือเน้นค่าใช้จ่ายไปทางไหนดี
บริการสำหรับลูกค้าต้องการทำโฆษณา ติดหน้าแรก google/Facebook/IG และเรายังสามารถ รับสอน seo ขั้นพื้นฐานได้ และอยาก รับทำ seo เราก็จะจัดให้

Sunday, January 20, 2019

วิเคราะห์อนาคตการตลาดปี 2019 ผ่าน 9 เทรนด์ Digital Marketing


  • เทรนด์ในปีหน้าคือการประยุกต์ใช้สื่ออย่างสมดุลเพื่อตอบโจทย์ทางการตลาด ไม่ใช่การทุ่มเงินไปช่องทางดิจิทัลเพียงอย่างเดียว เพราะมีราคาที่แพงขึ้นมาก ในขณะที่ Offline Media เริ่มกลับมามีอิทธิพลมากขึ้น สอดคล้องกับหลัก Demand – Supply ของราคาสื่อ
  • สิ่งที่เกิดขึ้น และจะกลายเป็นเทรนด์ของปีหน้าคือ แบรนด์ที่คาดหวังกิจกรรมทางการตลาดอาจจะต้องกำหนดเป้าหมายใหม่ว่า หากจะสร้าง Engagement ต่อแบรนด์ให้มากขึ้น ช่องทางอย่างเฟซบุ๊กอาจจะไม่ใช่ช่องทางที่เหมาะสมอีกต่อไป
  • Influencer Marketing เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่มีทุกปีแต่ก็เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ทุกปี และในปีนี้เทรนด์ที่มาแรงมากที่สุด คือการที่อินฟลูเอนเซอร์ระดับเซเลบริตี้ลงมาสร้างช่องทางของตัวเอง เพื่อติดต่อกับแฟนๆ ของตัวเอง และเพื่อทำให้ตัวเองกลับมาอยู่ในกระแสตลอดเวลา
  • ปีหน้าเป็นปีที่แบรนด์ต้องตัดสินใจ ถ้าแบรนด์ไม่เริ่มลงทุนในแพลตฟอร์มของตัวเองตอนนี้ แบรนด์นั้นจะติดกับการใช้งานแพลตฟอร์มดิจิทัลต่อไป และจะหมดอำนาจต่อรองในวันที่แพลตฟอร์มดังกล่าวตัดสินใจ ‘ขึ้นค่าโฆษณา’ จนสุดท้าย ราคาที่จ่ายไปจะไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ได้รับมา
โลกของเราหมุนเร็วขึ้นทุกวัน เช่นเดียวกับปี 2018 ที่กำลังจะผ่านไปในอีกไม่กี่เดือนที่จะถึง ซึ่งปีที่ผ่านมาผมได้เขียนเอาไว้ในคอลัมน์ THE STANDARD ในเรื่องของเทรนด์ และแต่ละเทรนด์ที่เขียนไปก็เกิดขึ้นจริงหลายอย่างในปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาแบบจริงใจตรงไปตรงมาที่มีมากขึ้น มีแบรนด์ได้ทำ LINE BCRM จำนวนมาก และโปรโมตผ่านช่องทางนี้เยอะขึ้น ประเทศไทยมีงานโฆษณาที่ไปได้รับรางวัล Branded Entertainment ที่เวที Cannes Lions 2018 ส่วนในเวทีการแข่งขัน eSports ก็คลาคล่ำไปด้วยแบรนด์ต่างๆ ทั้งสปอนเซอร์ทีม จัดการแข่งขัน หรือ Tie-in Promotion การใช้ Micro-Influencer ที่มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงหลาย ๆ แบรนด์ที่เริ่มเข้าใจดิจิทัลมากขึ้น และได้ลงทุนอย่างถูกจุดมากขึ้น ทำให้เกิดสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่างที่เราควรศึกษาไว้


ตลอดปี 2018 มีเทคโนโลยีใหม่ๆ พฤติกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอัลกอริทึม ฟังก์ชันลูกเล่นใหม่ๆ ของโซเชียลมีเดีย การปรับตัวขึ้นของราคาค่าโฆษณาในช่องทางต่างๆ การปรับตัวของสื่อต่างๆ การจับมือเป็นพันธมิตร การขยายช่องทางการรับชมผ่านแพลตฟอร์มตัวเอง หรือแพลตฟอร์มใหม่ๆ การควบรวมกิจการของเจ้าของสื่อและคอนเทนต์

ทั้งหมดนี้ทำให้พฤติกรรมการเสพสื่อดิจิทัลเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นฝั่งผู้บริโภคเอง หรือฝั่งนักการตลาดเองที่จะต้องปรับตัวตามให้ทันโลกเหล่านี้ และนี่คือ 9 เทรนด์ของ Digital Marketing ที่จะเข้ามามีผลต่อการวางแผนการตลาดต่อไปในปีหน้า

2019 Year of Offline – Online Equilibrium: เพราะไม่มีสื่อช่องทางใด เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ได้ด้วยราคาที่ถูกอีกต่อไป
ปีหน้าจะเป็นปีที่เข้าสู่สมดุลของการใช้สื่อ Offline และ Online อย่างเหมาะสมมากขึ้น จากข้อมูลการเติบโตของสื่อทั้งจากสมาคมมีเดียเอเจนซีและธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทย รวมไปถึงสมาคมโฆษณาดิจิทัลแห่งประเทศไทยชี้ตรงกันว่า สื่อดิจิทัลโตต่อเนื่องที่ 20% ทุกปี แต่สื่อเดิมๆ อย่าง โทรทัศน์ วิทยุ และสื่อเอาต์ดอร์ เริ่มมีการเติบโตอย่างคงที่ ไม่ลดลงฮวบฮาบเหมือนตอน 3-4 ปีที่แล้วที่ดิจิทัลมาใหม่ๆ ยังคงเหลือแต่สื่อหนังสือพิมพ์ นิตยสารที่ยอดการเติบโตลงทุกปี อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงการรับสื่อคอนเทนต์ประเภทการอ่านที่เปลี่ยนมาเป็นดิจิทัลแบบเต็มตัว

ซึ่งถ้ามองให้สอดคล้องกับรายงานว่า สื่อโฆษณาอย่าง เฟซบุ๊กปรับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมไปถึงสื่ออื่นๆ นั้น อาจคาดการณ์ได้ว่าการเติบโตของเม็ดเงินโฆษณาอาจมาจากราคาที่แพงขึ้น ทำให้เห็นว่าแท้จริงแล้ว ปริมาณ Advertisers ที่ไหลลงสื่อดิจิทัลในเชิงปริมาณอาจคงที่นั่นเอง

สาเหตุหนึ่งเพราะเนื่องมาจากแบรนด์หลายๆ แบรนด์ปรับตัวและปรับกลยุทธ์การสื่อสารทางดิจิทัลกันมาสักระยะหนึ่ง จนเจอจุดสมดุลของการวางแผนสื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นเทรนด์ในปีหน้าคือการประยุกต์ใช้สื่ออย่างสมดุลเพื่อตอบโจทย์ทางการตลาด ไม่ใช่การทุ่มเงินไปช่องทางดิจิทัลเพียงอย่างเดียว เพราะมีราคาที่แพงขึ้นมาก ในขณะที่ Offline Media เริ่มกลับมามีอิทธิพลมากขึ้น สอดคล้องกับหลัก Demand – Supply ของราคาสื่อ


ข้อสังเกตอีกอย่าง คือในช่วงไตรมาสแรก ราคาสื่อจะแพงขึ้นทุกช่องทางด้วยผลกระทบจากการเลือกตั้งต้นปีที่เม็ดเงินจากพรรคการเมืองจะไหลมาครอบครองพื้นที่สื่อมากขึ้น และทำให้อัตราสูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งย่อมกระทบต่อราคาการโฆษณาบนออนไลน์ในช่วงต้นปี แต่จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ในช่วงไตรมาสถัดมา


The Modern-Traditional Media: ปีของการใช้หลักการสื่อเก่า ปรับลงช่องทางสื่อใหม่
ต่อเนื่องจากจุดสมดุลของการใช้สื่อเทรนด์การตลาดปีหน้า จะมาพร้อมกับกลยุทธ์การใช้งานสื่อผ่านแนวคิด ‘หลักการสื่อเก่า บนช่องทางสื่อใหม่’ ผ่านสื่อที่เรียกว่า The Modern TV, The Modern Print, The Modern Newspaper and The Modern Radio

ซึ่งหลักการในการทำโฆษณาจะเหมือนยุคเดิม ไม่ว่าจะเป็นการทำโฆษณาแบบสื่อสารกระชับ และตรงจุดไม่ยาวเวิ่นเว้อแบบ 15 วินาทีของโฆษณาทีวี แต่เปลี่ยนมาอยู่ใน The Modern TV แทน หรือการโฆษณาเชิงประชาสัมพันธ์แบบพาดหัวข่าว กลับกลายมาอยู่ในรูปแบบของ Twitter Trend หรือ LINE TODAY แทน ประกอบไปด้วย

The Modern TV – Facebook Watch, YouTube Video, LINE TV, Twitch, Netflix

The Modern Newspaper – Twitter Trends, LINE TODAY

The Modern Radio – Joox, Spotify, Podcast, YouTube กลุ่ม Music

หากนักการตลาดเข้าใจหลักการโฆษณาอย่างได้ผลแบบเดิม แต่ปรับวิธีการให้เหมาะสมมากขึ้นบนช่องทางใหม่ๆ ย่อมจะทำให้เราใช้สื่อเหล่านี้ได้มีประสิทธิภาพได้ถึงขีดสุด

ปัญหาเรื่อง Privacy ของเฟซบุ๊ก ความเชื่อมั่นที่ถดถอย และดราม่ารายวัน จะทำให้วัยรุ่นและ GenY ทำกิจกรรมน้อยลงในเฟซบุ๊ก แต่จะหันไปบ่นถี่ขึ้นในช่องทางอื่นๆ เช่น Instagram Stories / Twitter
ในปี 2018 ถือเป็นปีซวยของพี่มาร์กและเฟซบุ๊กก็ว่าได้ ทั้งเรื่องถูกฟ้อง ถูกสอบสวนจากสภาคองเกรส รวมไปถึงการเกิดคำถามสำคัญของผู้ใช้งานเฟซบุ๊กที่เริ่มตระหนักมากขึ้นว่า ‘เฟซบุ๊กปลอดภัยจริงหรือ’ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของข่าวปลอมที่แทรกแซงเรื่องการเมือง รวมไปถึงข่าวใหญ่ที่มีผู้ใช้งานถูกล้วงข้อมูลไปกว่า 50 ล้านบัญชี สร้างคำถามตัวเบ้อเริ่มในการใช้งานแพลตฟอร์มดังกล่าว อีกทั้งเรื่องดราม่าที่เกิดจากการโพสต์ หรือคอมเมนต์มากเกินไป ก็ทำให้คนเลือกที่จะแชร์เรื่องราวของตัวเองน้อยลง ยิ่งส่งผลต่อ Engagement ที่ตกลงอย่างมากในปีที่ผ่านมา

แต่ในขณะเดียวกัน Instagram Stories และ Twitter ได้รับความนิยมอย่างมากจากกลุ่มวัยรุ่น และ Gen Y โดยเฉพาะ Instagram Stories ที่เริ่มเพิ่มฟีเจอร์สใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นโพล หรือการทำ Interactive Function ที่คนดูสามารถเล่นกับคนโพสต์ได้ นับเป็นการเปิดโอกาสในการสร้างเอ็นเกจเมนต์ใหม่ๆ ของแบรนด์ผ่านชาวดิจิทัลแทนที่จะทำบนเฟซบุ๊ก ซึ่งจะกลายเป็นพื้นที่ของกลุ่มคนสูงอายุ และกลุ่มลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาใช้งานแทน

สิ่งที่เกิดขึ้น และจะกลายเป็นเทรนด์ของปีหน้าคือ แบรนด์ที่คาดหวังกิจกรรมทางการตลาดอาจจะต้องกำหนดเป้าหมายใหม่ว่า หากจะสร้างเอ็นเกจเมนต์ต่อแบรนด์ให้มากขึ้น ช่องทางอย่างเฟซบุ๊กอาจจะไม่ใช่ช่องทางที่เหมาะสมอีกต่อไป

การเปิดเสรี Non-Skip Ad จาก YouTube และโฆษณา Facebook Ad-Break จะเป็นตัวเร่งให้ประเทศไทย เข้าสู่ช่วงเริ่มต้นของการเป็น Ad-Block Country (ประเทศที่มีการใช้ตัวบล็อกโฆษณาในปีหน้า)
จากข่าวที่ ยูทูบเตรียมเปิดให้พาร์ตเนอร์และผู้ผลิตคอนเทนต์ทุกรายสามารถเปิดรับโฆษณาชนิดกดข้ามไม่ได้จากยูทูบ เพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้น อาจเป็นตัวเร่งกิริยาของ Ad Block ในประเทศไทยให้เพิ่มมากขึ้น จะยิ่งทำให้นักการตลาดทำงานยากมากขึ้นในการเข้าถึงผู้บริโภคผ่านโฆษณาออนไลน์ และอาจจะต้องหาวิธีการใหม่ๆ ที่มากกว่าการทุ่มเงินซื้อโฆษณา ผ่านเฟซบุ๊กและยูทุบ (ปัจจุบันจำนวน % ของคนใช้โปรแกรมปิดโฆษณาอยู่ที่ 6% และประเทศที่ใช้เยอะสุดอย่างอินโดนีเซีย อยู่ที่ 58%)

ซึ่งอีกประเด็นที่จะทำให้เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาระดับชาติของทุกแบรนด์และบรรดา Publishers คือการที่บริการ AdBlock Application ถูกพัฒนาให้ปลอดจากภัยไวรัสแฝงมัลแวร์ และมีการกระจายต่อของผู้ใช้งานจริงเป็นวงกว้าง

การสร้างแบรนด์บนยุคดิจิทัลในปีหน้า คือการพูดให้เป็นมนุษย์ และทำให้ได้ตามสัญญา
ในปีที่แล้วเราพูดถึงความจริงใจและความโปร่งใส คือการสร้างแบรนด์ในยุคที่คนพูดคุยกัน เข้าถึงกัน ดังนั้นปีที่ผ่านมาเราจึงเห็นโฆษณาจำนวนมาก มีความ ‘เป็นมนุษย์’ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขายโต้งๆ ว่านี่คืองานโฆษณานะ เอาลูกค้ามาเล่นในโฆษณา หรือการมองมุมใหม่ของโลชั่น แชมพู ยาสระผม ที่สร้างคุณค่าบนความ ‘จริง’

Photo: Colin Kaepernick / twitter

แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อทุกคนต่างมุ่งมาทางความจริงใจในการสร้างแบรนด์ สิ่งที่จะเป็นเทรนด์ หรือยกระดับแบรนด์ขึ้นมาคือ การ ‘ทำ’ ให้ได้ตามสัญญา หรือทำให้ได้ตามจุดขายที่เราสื่อออกไป ยกตัวอย่างแคมเปญที่ผมมองว่า นี่คือการสร้างแบรนด์ที่แท้จริงในยุคนี้อย่าง Nike กับโฆษณาของ Colin Kaepernick ที่มาพร้อมความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ อย่างคำที่ว่า ‘จงเชื่อในบางสิ่ง แม้มันจะหมายถึงการเสียสละทุกสิ่ง’ ซึ่ง Nike หยิบเอาคนอย่าง เคเปอร์นิก ที่เริ่มการต่อต้านเชิงสัญลักษณ์กับประเด็นการกระทำที่ไม่ชอบธรรมต่อคนผิวสีของตำรวจ ด้วยการคุกเข่าระหว่างการเคารพเพลงชาติอเมริกาในเกม NFL จนเกิดกระแสบอยคอตและถูกสั่งแบนจากการแข่งขันมาเป็นตัวแทนของความเชื่อ ทั้งๆ ที่แบรนด์รู้อยู่แล้วว่าจะเกิดปัญหาตามมาเป็นอย่างมากหากแบรนด์เลือกประเด็นละเอียดอ่อนนี้มาเล่น

แต่ Nike ก็ทำ และเกิดกระแสไม่พอใจอย่างมากจนหุ้นร่วง แต่ทว่าไม่กี่วันถัดมายอดขายออนไลน์กลับพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ เพราะคนรุ่นใหม่ และกลุ่มคนที่ยอมรับในความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมส่วนใหญ่กับเห็นด้วยในการกระทำที่กล้าหาญนี้ ที่ทำตามความเชื่อโดยไม่กลัวยอดขายตกลงอย่างแท้จริง กลายเป็นแรงสนับสนุนชั้นดีของแบรนด์และนี่คือการสร้างแบรนด์แบบใหม่ในปีหน้านี้


Evolution of influencer: ยุค Influencer ปรับตัวเพื่ออยู่รอด ดาราสร้างคอนเทนต์เอง การคัดกรอง และฟองสบู่ของ Micro Influencer รวมถึงการมองนอกเหนือจากธุรกิจสู่ความสัมพันธ์แบบยั่งยืน
Influencer Marketing เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่มีทุกปีแต่ก็เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ทุกปี และในปีนี้เทรนด์ที่มาแรงมากที่สุด คือการที่อินฟลูเอนเซอร์ระดับเซเลบริตี้ลงมาสร้างช่องทางของตัวเอง อย่างเช่น This is Me, VATANIKA หรือ เจ้าป่าเข้าเมือง ซึ่งสาเหตุหลักๆ หนีไม่พ้นการลงทุนในการสร้าง Owned Media Channel เพื่อติดต่อกับแฟนๆ ของตัวเอง และเพื่อทำให้ตัวเองกลับมาอยู่ในกระแสตลอดเวลา


ในยุคที่มีรายการที่มีอินฟลูเอนเซอร์และเรื่องอื่นๆ มาคอยแย่งเวลาของคนในดิจิทัลไปหมด หากเซเลบริตี้นั่งรอรายการเรียกตัวไปออก หรือรอบทละครดีๆ เข้ามาก็คงไม่ทันโลกที่หมุนเร็วแบบนี้ การสร้างรายการของตัวเองผ่านแพลตฟอร์มโซเชียล คือทางเลือกที่ดีที่สุดในการทำให้ตัวเองกลับมามีผู้ติดตาม และอยู่ในกระแสอีกครั้ง

อีกประเด็นหนึ่งคือ ปีนี้ Micro Influencer คือเทรนด์ที่เกิดขึ้นและแบรนด์ต่างหันมาใช้งานกันมากที่สุด แต่สิ่งที่จะตามมาคือ แบรนด์ยังคงใช้แนวคิดแบบผลัก Message แต่แทนที่จะใช้อินฟลูเอนเซอร์ตัวใหญ่ จะกลับมาใช้อินฟลูเอนเซอร์ตัวเล็กในจำนวนมากแทน โดยใช้ #Hashtag เดียวกัน โพสต์แบบเดียวกัน และสุดท้ายก็กลับไปในจุดที่หลายแบรนด์กำลังใช้งานอินฟลูเอนเซอร์แบบบิลบอร์ดมากกว่าจะเป็นผู้มีอิทธิพลทางความคิดที่แท้จริง

สุดท้ายแล้วราคาที่จ่ายไปกับสิ่งที่ได้มาไม่สอดคล้องกัน กลายเป็นฟองสบู่ที่แบรนด์อาจจะเลิกใช้ และอินฟลูเอนเซอร์อาจจะได้งานยากขึ้นถ้าไม่ลดราคา

ดังนั้นในปี 2019 จะเกิดการคัดกรอง Quality Influencer มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นระดับ Macro หรือ Micro ที่ทำงานเชิง Branded Content เป็น และการได้ทำงานกับแบรนด์ที่เข้าใจการใช้งาน และใช้ Micro Influencer อย่างถูกต้องเท่านั้น จึงจะได้ผล

สุดท้ายคืออินฟลูเอนเซอร์ที่อยู่มานานจนกลายเป็นสื่อใหม่ทรงอิทธิพลจะเริ่มเรียกร้องหาความจริงใจ และความสัมพันธ์อย่างยั่งยืนจากแบรนด์มากกว่าความสัมพันธ์เชิงธุรกิจอย่างเดียว

การโฆษณาโดยการจ่ายเงินและบังคับให้ลงตามต้องการ จะทำให้อินฟลูเอนเซอร์เป็นกังวลเรื่องความน่าเชื่อถือและส่งผลต่อผู้ติดตามของตนเอง ยิ่งโดยเฉพาะทุกวันที่มีอินฟลูเอนเซอร์หน้าใหม่มาแรงมากขึ้น การสร้างคอนเทนต์เชิงโฆษณาแบบขายของ จึงต้องการการทำงาน ‘ร่วมกันกับแบรนด์’ มากกว่าเดิม

ในปีหน้าการสร้างความสัมพันธ์และการทำงานร่วมกันระหว่างแบรนด์กับอินฟลูเอนเซอร์แบบใกล้ชิดต่อหนึ่งงาน คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

Emerging Experience แบบ VR มาจนได้
รอมานานสำหรับเทรนด์ VR ที่ถูกเขียนเป็นเทรนด์มาแล้ว 4-5 ปี แต่ไม่มาสักที ด้วยเหตุผลทางความพร้อมด้านเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์และคอนเทนต์

มาวันนี้ผมคาดว่าปี 2019 จะเริ่มเห็นการใช้งาน Virtual Reality ในการตลาดและการสร้างคอนเทนต์มากขึ้น เมื่อราคาของ VR Glass เริ่มต้นที่ 300 กว่าบาท แทนที่จะเป็นราคา 1,000 บาทขึ้นไปและหาซื้อยาก ปัจจุบันก็มีร้านสะดวกซื้อเริ่มนำมาขายในราคานี้กันแล้ว

รวมไปถึงคอนเทนต์ออนไลน์ก็สนับสนุนการแสดงผลผ่าน VR มากขึ้น เราอาจจะได้เห็นการใช้ VR ในการเสพคอนเทนต์ในบ้าน หรือ In-home Consumption มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปีหน้า และได้เห็นการนำ VR มาใช้ในงาน Event, Tradeshow มากขึ้นอีกจนอาจจะกลายเป็น New Normal สำหรับงาน Exhibition เลยก็ได้

แบรนด์หันมาเก็บข้อมูลด้วยตนเองมากขึ้น เพื่อนำไปประกอบกับข้อมูลจากแพลตฟอร์มอื่นๆ เพื่อการนำไปใช้งานอย่างแท้จริง (Data Activation)
เราพูดถึงเรื่องของ Data Driven Marketing หรือ Big Data มาหลายปี แต่ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมมากนักในปีนี้ สาเหตุเพราะข้อมูลที่เราเก็บมาจากแพลตฟอร์มส่วนกลางมักไม่เพียงพอและก็ไม่ตรงตามต้องการ รวมไปถึงราคาก็แพงขึ้นเรื่อยๆ (ลองนึกภาพการนำข้อมูลจากเฟซบุ๊ก, กูเกิล, ยูทูบ มาวิเคราะห์เพื่อนำไปวางแผนการตลาด หรือใช้งานต่อ ทำได้ยากมากขึ้น)

หรือบางแบรนด์มีข้อมูลลูกค้าอยู่แล้วแต่ถูกเก็บแยกกันและนำมาใช้งานไม่ได้ นั่นทำให้แบรนด์หลายๆ แบรนด์เริ่มหันมาลงทุนกับการเก็บข้อมูลจากระบบ Ecosystem ของตนเองที่ได้เริ่มลงทุนไปแล้วในปีที่ผ่านมา หรือมีการรวมศูนย์ข้อมูลเพื่อให้อยู่ในที่เดียวเพื่อการวิเคราะห์และนำมาประยุกต์ใช้ด้วยข้อมูลที่มีคุณภาพมากกว่าเดิม

ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ในปลายทาง เพื่อสร้างเป็นแคมเปญ ผ่านช่องทางเช่น LINE Business CRM, Direct Marketing, Chatbot, Internet of Things, Ad Optimization หรือการทำ Data Visualization ซึ่งต่อไปจะเป็นเทรนด์ที่บริษัทที่มีความพร้อมจะนำมาใช้งานสร้างแคมเปญที่วัดผลได้ ใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ และกลับเข้าสู่โจทย์ที่ต้องการได้อย่างแท้จริง ทดแทนการที่ต้องพึ่งการโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มตัวกลาง เช่นบรรดาโซเชียลมีเดียตลอดเวลา

ซึ่งในประเทศไทย ณ ปัจจุบันเริ่มมีเอเจนซีหรือบริษัทที่ปรึกษา หันมาทำสินค้าหรือบริการการจัดการวางแผนในส่วนนี้แล้ว อย่างเช่น บริษัท The Alchemist ในเครือ Rabbit Digital Group

ถ้าไม่สร้างคอนเทนต์ ไม่สร้างสินทรัพย์ดิจิทัลของตัวเองปีนี้ ก็จะต้องจ่ายค่าโฆษณาแพงไปเรื่อยๆ ทุกปี
ข้อสุดท้ายผมคงไม่ได้นับเป็นเทรนด์ แต่นับว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำครับ เมื่อเราต่างก็พบว่า ราคาของสื่อโซเชียล ซึ่งเป็นสัดส่วนเยอะที่สุด ปรับตัวแพงขึ้นเพราะคนจ่ายมากขึ้น ในขณะที่คนเล่นเติบโตน้อยลง และมีตัวเลือกมากขึ้น แต่ทุกคนมีเวลาเท่าเดิม

เทรนด์แบบนี้ยิ่งจะทำให้ทุกคนแย่งเวลากัน ผู้ชมเองก็มีทางเลือกในการเสพคอนเทนต์ที่ไร้โฆษณามากขึ้น ทำให้มีแนวโน้มจะเข้าสู่ Ad Block Country และคนไทยเองก็คงไม่ยอมจ่ายเงินเพื่อเข้าถึงคอนเทนต์ที่เคยได้มาฟรีแบบง่ายๆ ซึ่งแบรนด์จะลำบากมากขึ้นในการทำโฆษณาให้โดนใจ ทำคอนเทนต์ที่ดีมากพอที่คนจะคลิกอ่าน

ดังนั้นปีหน้าไม่ใช่เทรนด์ แต่จะเป็นปีที่แบรนด์ต้องตัดสินใจ ถ้าแบรนด์ไม่เริ่มลงทุนในแพลตฟอร์มของตัวเองตอนนี้ และวางแผนใช้งานอย่างจริงจังในระยะยาว แบรนด์นั้นจะติดกับการใช้งานแพลตฟอร์มดิจิทัลต่อไป และจะหมดอำนาจต่อรองในวันที่แพลตฟอร์มดังกล่าว ตัดสินใจ ‘ขึ้นค่าโฆษณา’ จนสุดท้าย ราคาที่จ่ายไปจะไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ได้รับมานั่นเอง

จบไปแล้วกับ 9 เทรนด์ Digital Marketing ที่นักการตลาดควรต้องรู้และติดตามไว้ สำหรับเทรนด์ปีหน้าจะเป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ เรามาติดตามกันครับ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เทรนด์เป็นแค่แนวทางที่จะเกิด แต่การนำไปใช้ การมองให้ออกว่าเหมาะกับเราหรือไม่ และการลองทำไปก่อนคือสิ่งสำคัญกว่าครับ
บริการสำหรับลูกค้าต้องการทำโฆษณา ติดหน้าแรก google/Facebook/IG และเรายังสามารถ รับสอน seo ขั้นพื้นฐานได้ และอยาก รับทำ seo เราก็จะจัดให้