Thursday, March 28, 2019

Digital Marketing แท้จริงมันคืออะไร?


ใครที่กำลังสงสัยเรื่องนี้ ลองหยุดอ่านบทความนี้ซักครู่ ผมมั่นใจว่าคุณจะเห็น Digital Marketing ในมุมมองที่กว้างขึ้นอย่างแน่นอนครับ
นักการตลาดหลายสำนัก scope ความหมายของมันแตกต่างกันออกไป โดยความหมายที่เราอาจได้ยินกันบ่อยๆ คือ มักบอกว่ามันเป็น การสื่อสารการตลาดผ่านสื่อดิจิทัล เช่น การลงโฆษณาใน social platform / search engine ต่างๆ เช่น Facebook, Google เป็นต้น

มันก็ถูกส่วนหนึ่งครับ
แต่จริงๆแล้ว โลกของ Digital Marketing
"มันกว้างกว่านั้นมากๆ"

ซึ่งถ้าจะให้สรุปง่ายๆ Digital Marketing ก็คือ “การที่เรานำเอาเทคโนโลยี หรือเครื่องมือดิจิทัล เข้ามาช่วยในการทำการตลาดนั่นเองครับ” จริงๆแล้วภาพมันใหญ่พอๆ กับการทำการตลาดแบบ Traditional เลยล่ะ เพียงแต่เราทำในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยจุดมุ่งหมายในการทำการตลาดก็ไม่ต่างจากเดิม นั่นก็คือ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้ดีที่สุด โดยมุ่งหวังผลลัพธ์ที่เป็นยอดขายหรือกำไรของธุรกิจ ซึ่งสิ่งที่เป็นข้อดีมากๆของการทำการตลาดในยุคดิจิทัล คือธุรกิจมีเครื่องมือดีๆ ที่เข้ามาช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำการตลาดให้ดียิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันธุรกิจก็ต้องทำการบ้านหนักขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะเข้าใจถึงสภาพแวดล้อมในการเชื่อมต่อกับผู้บริโภคที่แตกต่างไปจากเดิม ซึ่งประเด็นสำคัญที่ผมอยากจะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจก็คือการทำ Digital Marketing ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นบนโลกออนไลน์เสมอไป ธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการทำการตลาดแบบ offline ได้ด้วย หรือใช้มันผสานทั้งสองช่องทางเข้าด้วยกัน ซึ่งวันนี้ผมขออธิบายภาพของ Digital Marketing ผ่านโมเดลทางการตลาดที่เราคุ้นเคยกันดี นั่นก็คือ Marketing Mix หรือ 4P นั่นเองครับ เรามาดูกันว่า เทคโนโลยีหรือเครื่องมือดิจิทัล จะเสริมประสิทธิภาพให้ 4P ทรงพลังขึ้นได้อย่างไรไปติดตามกันครับ

1. Product

P ตัวแรก คือ สินค้าและบริการที่คุณจะขายให้กับผู้บริโภค
ยุคนี้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทอย่างมาก ในการช่วยให้ธุรกิจปรับปรุงสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น เช่น ก่อนที่ธุรกิจจะปล่อยสินค้าเข้าสู่ตลาด เทคโนโลยีช่วยให้คุณล่วงรู้ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าในแบบที่ไม่เคยรู้มาก่อนผ่านการเก็บข้อมูล ส่งผลให้คุณสามารถผลิตสินค้าที่เป็นที่ต้องการของตลาด และเพิ่มโอกาสที่สินค้าจะประสบความสำเร็จในตลาดได้
เทคโนโลยีช่วยให้คุณสามารถสร้างสินค้าที่ล้ำสมัย เช่น พวกสินค้า IoT ต่างๆ หรือแม้กระทั่งเพิ่มคุณค่าของสินค้า/บริการที่คุณมีอยู่ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคมากขึ้น เช่น การเพิ่มช่องทางให้ลูกค้าเข้าถึงบริการได้สะดวกยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ในยุคดิจิทัลที่คนมักซื้อสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งไม่ได้เห็นและจับต้องสินค้าจริงๆ เทคโนโลยียังสามารถช่วยให้การนำเสนอสินค้าลักษณะนี้มีความสมบูรณ์มากขึ้น ด้วยการแสดงให้เห็นภาพผ่าน format ในการนำเสนอที่หลากหลาย เช่น ภาพนิ่ง / VDO / LIVE / Augmented Reality(AR) ฯลฯ แถมเทคโนโลยียังเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลความคิดเห็นจากลูกค้าคนอื่นๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจได้อีกด้วย

2. Price

P ตัวที่สอง คือ ราคาของสินค้าหรือบริการ หรืออะไรก็ตามที่ลูกค้าต้องแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้าหรือบริการของคุณ
อย่างที่ผมบอกไปในตอนต้นว่าเทคโนโลยีช่วยให้คุณเข้าถึงข้อมูลของผู้บริโภคได้อย่างมหาศาล ซึ่งแน่นอนว่ามันเปิดโอกาสให้คุณตั้งราคาให้เหมาะกับผู้บริโภคแต่ละคนได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณสามารถ track การเข้าชม website ของลูกค้าได้ว่าเค้าเข้าชมสินค้าตัวไหน คุณก็สามารถส่งราคาโปรโมชั่นของสินค้านั้นไปให้ลูกค้าได้ เป็นต้น
นอกจากนี้ ยุคนี้ยังเป็นยุคที่การสร้าง “คุณค่า” เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเทคโนโลยีทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลได้อย่างอิสระ และสามารถเลือกแบรนด์ที่พวกเค้าต้องการได้ตามใจ แบรนด์ที่ขายถูกกว่า ไม่ได้เป็นผู้ชนะเสมอไป แต่เป็นแบรนด์ที่สามารถสร้างคุณค่าให้แก่ผู้บริโภคได้มากกว่าต่างหากที่เป็นผู้ชนะ
เพราะฉะนั้นการที่แบรนด์ใช้ข้อมูลที่มีในมือให้เป็นประโยชน์ในการสร้างประสบการณ์ได้ตรงใจผู้บริโภค ก็จะช่วยให้แบรนด์มีอำนาจในการตั้งราคาได้มากขึ้นตามไปด้วย เพราะสมัยนี้ผู้บริโภคมักมองถึงคุณค่าที่แบรนด์ส่งมอบให้เค้ามากกว่ามานั่งคิดว่ามันถูกหรือแพง ตราบใดที่มันคุ้มค่า เค้าก็ยินดีจะจ่ายครับ

3. Promotion

P ตัวที่ 3 คือ การสื่อสารทางการตลาด หรือการทำให้ผู้โภครู้จักสินค้าของเรา ไปจนถึงโน้มน้าวให้เค้ามาซื้อของๆเรา เช่น การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การส่งเสริมการขายต่างๆ ครับ
เทคโนโลยีทำให้ P ตัวนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ลองนึกภาพดูว่า จากแต่ก่อน แบรนด์จะโฆษณาอะไรแต่ละที ก็มีทางเลือกในการใช้สื่ออยู่อย่างจำกัด เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ทีวี วิทยุ เป็นต้น ซึ่งแบรนด์แทบจะไม่รู้เลยว่า ใครเป็นผู้รับสารจริงๆกันแน่ ตรงกับคนที่แบรนด์ต้องการรึเปล่า แถมการวัดผลของโฆษณาก็ค่อนข้างลำบาก ไม่พอแบรนด์ต้องใช้งบในการโฆษณาค่อนข้างเยอะเลยทีเดียวกว่าสินค้า/บริการจะเป็นที่รู้จัก แต่ทุกวันนี้ เทคโนโลยีเอื้อประโยชน์ต่อการสื่อสารการตลาดเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับธุรกิจรายย่อย ธุรกิจมีทางเลือกในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้นเยอะกว่าแต่ก่อนมาก ในต้นทุนที่ต่ำกว่ามากอีกด้วย เช่น การสื่อสารผ่าน Social media, Search marketing , Email marketing, Content marketing, Website ฯลฯ
ซึ่งในหลายๆ platform ธุรกิจสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้ตามที่ต้องการ แถมสามารถติดตามและวัดผลลัพธ์ในการสื่อสารได้แบบละเอียดยิบอีกด้วย ซึ่งมันโคตรดีกับธุรกิจขนาดเล็กที่มีงบประมาณจำกัด จะมีอะไรดีไปกว่า การสื่อสารที่คุณสามารถเลือกคนคุยด้วยได้ ไม่ต้องใช้เงินเยอะ แถมวัดผลลัพธ์ได้อีกล่ะครับ

4. Place

P ตัวที่ 4 คือ ช่องทางที่คุณจะขายหรือกระจายสินค้าของคุณไปสู่ผู้บริโภคครับ
แต่ก่อนธุรกิจอาจจะขายสินค้าแค่หน้าร้าน แต่ตอนนี้ธุรกิจมี option ให้วางขายสินค้ามากมาย ทั้งบน website, e-commerce, social meadia ต่างๆ โดยสิ่งสำคัญที่ธุรกิจต้องคำนึงคือ จะทำอย่างไรให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าและบริการของคุณได้ง่ายและสะดวกที่สุด โดยพิจารณาให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของผู้บริโภคเป็นหลัก เพราะเดี๋ยวนี้ ถ้าลูกค้าซื้อของยากหน่อย ติดต่อลำบากหน่อย เค้าก็เปลี่ยนใจไม่ซื้อกันได้ง่ายๆเลยครับ
นอกจากธุรกิจควรมีช่องทางในการเข้าถึงที่หลากหลายแล้ว ธุรกิจจะต้องเชื่อมโยงแต่ละช่องทางให้ดูแลลูกค้าได้อย่างสอดคล้องกันด้วยนะครับ เช่น ช่องทาง A, B และ C ควรจะมีฐานข้อมูลของลูกค้าชุดเดียวกัน เวลาสื่อสาร หรือติดต่อกับลูกค้า จะได้ไปในทิศทางเดียวกันครับ

ความแตกต่าง
ที่สังเกตุเห็นได้จากการทำการตลาดในยุคสมัยก่อน กับยุคดิจิทัลคือ

แต่ก่อน P แต่ละตัว จะค่อนข้างแยกออกจากกันเป็นเอกเทศ แต่ในยุคนี้ P แต่ละตัว มีความทับซ้อนกันอยู่ เช่น สื่อที่ใช้ในการโปรโมท ก็มักเป็นตัวเดียวกันกับช่องทางการขายด้วย การปรับปรุงสินค้า/บริการให้ตอบโจทย์ลูกค้า บางทีก็ไปซ้อนทับกับการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย เป็นต้น แต่สุดท้ายไม่ว่าสมัยไหน การทำการตลาดก็ยังมีหัวใจสำคัญเดียวกันคือ การพยายาม mix ตัว P เหล่านี้ ให้สามารถสร้างประสบการณ์ที่กลมกล่อมที่สุดให้แก่ลูกค้าให้ได้
และนี่ก็คือ การเล่าคร่าวๆเกี่ยวกับ Digital Marketing ครับ หวังว่าคงพอจะทำให้ทุกท่านเห็นภาพกันว่า มันเป็นอะไรที่มากกว่าแค่การทำโฆษณาออนไลน์ มันครอบคลุมทุกมิติของการทำการตลาด และยังมีรายละเอียดอีกมาก ซึ่งคุยกันได้ไม่รู้จบ อย่างไรก็ตาม ผมขอยืนยันว่า ทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก ต้องศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ และพยายามเลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์มาปรับใช้กับธุรกิจของเราให้ได้ เพราะเมื่อโลกเปลี่ยนไป สิ่งที่น่ากลัวที่สุด ไม่ใช่คู่แข่ง ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมหรือเทคโนโลยี แต่เป็นการที่เราไม่ยอมเดินไปข้างหน้าต่างหาก ผมจึงอยากชวนให้ทุกคนมาเดินไปข้างหน้าด้วยกันนะครับ

บริการสำหรับลูกค้าต้องการทำโฆษณา ติดหน้าแรก google/Facebook/IG และเรายังสามารถ รับสอน seo ขั้นพื้นฐานได้ และอยาก รับทำ seo เราก็จะจัดให้

Wednesday, March 27, 2019

ทำการตลาดออนไลน์ยุค Digital Marketing 2019

ปัจจุบัน พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ผู้ประกอบการต้องตามให้ทัน การทำการตลาดออนไลน์ในโลกยุคดิจิทัลถือเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญของการตลาดในยุคนี้
นายธีรศานต์ สหัสสพาศน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท JM- cuisine  ผู้บริหารร้านอาหารความคิดสร้างสรรค์ จังหวัดเพชรบุรี ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำการตลาดบนโลกออนไลน์ ให้คีย์เวิร์ดที่ถือเป็นหัวใจของการตลาดยุคนี้ว่า คำที่เคยใช้ในอดีตอย่าง Word of Mouth ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป เมื่อยุคดิจิทัลทำให้การรับรู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ เปลี่ยนไป โดยมีโซเชียลมีเดียเข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญในการเสพข้อมูลต่างๆ ดังนั้น Word of Mouth จึงถูกแทนที่ด้วยคำว่า World of Mouth  ไปโดยปริยาย สิ่งสำคัญที่เป็นพื้นฐานของการทำเงินบนโลกออนไลน์ในยุคดิจิทัลก็คงหนีไม่พ้นการใช้โซเชียลมีเดีย อาทิ ไลน์  วอทส์แอพ เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม เป็นต้น
Speaker_Digitalmarketing_M
  1. ZMOT หรือ Zero Moment of Truth หลังจากที่ลูกค้าซื้อสินค้าไปแล้ว มีประสบการณ์ในการใช้งานสินค้าแล้ว พวกเขาเหล่านั้นอาจจะมาเขียนรีวิวแบ่งปันข้อมูลบนเว็บไซต์ หรือเข้ามาค้นหาข้อมูลสินค้าที่ตัวเองซื้อไป หรือค้นหาสินค้าที่ตนเองสนใจผ่านเว็บไซต์ หรือจากโซเชียลมีเดียต่างๆ ดังนั้นการใช้งานผ่านกูเกิ้ลจึงเป็นเป้าหมายของลูกค้าเหล่านี้ ดังนั้นหัวใจสำคัญของการตลาดคือ คีย์เวิร์ดที่ต้องใช้คำไม่ยากจนเกินไป สามารถคิดแทนผู้ค้นหาได้ โดยมีเทคนิคหลักๆ ประกอบด้วย
     1.1   สร้างคีย์เวิร์ดหลักของธุรกิจของเราให้ได้ (เมื่อค้นต้องเจอ)
  • สร้างคีย์เวิร์ดรอง เมื่อการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดอื่นๆ หรือ คีย์เวิร์ด ผิด ลูกค้าต้องเจอ
  • ถ้าสามารถทำให้คนเข้ามาในเว็บไซต์ของเราแล้วต้องสามารถปิอดการขายให้ได้
  1. FREEMIUM คือ FREE + MIUM พร้อมอำนวยความสะดวก เช่น PayPal เพื่อรับการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ดังนั้น การทำงานแบบ 24/7 หรือสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงตลอด 7 วันเป็นสิ่งสำคัญ (ไม่เช่นนั้นธุรกิจอาจเสียรายได้ไปโดยไม่รู้ตัวกว่า 70 เปอร์เซ็นต์)
  1. Search ปัจจุบันเส้นทางการเข้าเว็บไซต์ต่างๆได้เปลี่ยนแปลงผู้ใช้งานให้หันมาใช้เส้นทางการเข้าเว็บไซต์ด้วยคอนเทนท์ที่เป็นรูปภาพกันมากขึ้น ดังนั้นการทำ “SEO รูปภาพ” จึงเป็น Content Marketing ที่ไม่ควรพลาด ด้วยวิธีการง่ายๆ  เริ่มจาก
3.1 TEXT หรือ ข้อความ ต้องเป็นคำสั้นๆ หรือหัวข้อโดนๆ ท้าทายผู้อ่าน อาทิ 7 เค้ก อร่อยย่านมหาชัย
3.2 INFOGRAPHIC เป็นวิธีการที่สามารถทำได้ทันที พูดง่ายๆ คือ จัดการกับข้อความที่ซับซ้อนให้จบภายในหน้าเดียวให้ INFOGRAPHIC เล่าเรื่องผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าสินค้า
3.3 IMAGE รูปภาพ เนื่องจากรูปภาพเป็นสิ่งแรกที่ทำให้ผู้คนจดจำเราได้ ดังนั้นการทำภาพที่เป็นแนวของธุรกิจตนเอง หาแนวที่แปลกใหม่ เพื่อง่ายต่อการจดจำ
  1. Share ต้องรู้ว่าจะมีวิธีการแชร์อย่างไร ต้องใช้รูปภาพเป็นตัวขับเคลื่อน ที่สำคัญแฮชแท็คเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องรู้ว่าธุรกิจเราใช้ แฮชแท็คอะไร
ขั้นตอนการเตรียมตัวการตลาด
+ SocialNetwork ของตัวเอง
+ SocialNetwork ที่ใช
+ การออกแบบ (แบ็คกราวด์, ธีม)
+ ผู้ดูแล การตอบโตผ่านเว็บไซตของตัวเอง
+ อีคอมเมิร์ซ (พรอมสั่งซื้อสินคาหรือเปลา?)
หลักการจัดระเบียบข้อมูลบนโซเชียลมีเดีย
+ แบรนด์
+ รายละเอียด2-3 บรรทัด
+ ไลน์
+ เว็บไซต์
+ เบอร์โทร
+ อินสตาแกรม
+ ยูทูป
+ กูเกิ้ลแมพ
+ แฮชแท็ค
สรุปง่ายๆ คือ การทำ Digital Marketing ไม่ใช่แค่ทำการตลาดให้กับลูกค้า แต่ต้องอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงเราได้ผ่านโซเชียลมีเดียที่กลายเป็นสิ่งสำคัญที่มีบทบาทในชีวิตประจำวัน ไม่สำคัญว่าจะใช้โซเชียลมีเดียประเภทใด แต่ความสำคัญอยู่ที่ว่าเราจะทำให้ลูกค้ารู้หรือไม่ว่า แบรนด์ของเราคือแบรนดือะไร ใช้แฮชแท็กอะไร
สำหรับแอปพลิเคชั่นหรือตัวช่วยสำคัญอื่นๆที่เหมาะกับการทำตลาดยุคจิดิตอล มีดังนี้
– Vscocam
– Snapseed
– Cover Photo Maker
– www.canva.com
– Google URL Shortener
– Google Alerts
– MailChimp
บริการสำหรับลูกค้าต้องการทำโฆษณา ติดหน้าแรก google/Facebook/IG และเรายังสามารถ รับสอน seo ขั้นพื้นฐานได้ และอยาก รับทำ seo เราก็จะจัดให้

Tuesday, March 26, 2019

4 เทคนิคทำการตลาดออนไลน์ ให้ยอดขายพุ่งกระฉูด


การตลาดออนไลน์ ใครๆก็บอกว่ายุคนี้ถ้าอยากขายดีก็ต้องทำการตลาดออนไลน์ซิ แต่จะมีสักกี่คนจริงๆที่จะเก็ทว่า ไอที่บอกให้ต้องทำการตลาดออนไลน์เนี่ย มันต้องทำอะไรมั่ง เพราะจริงๆแล้วคำว่าการตลาดออนไลน์มันกว้างมากๆ ไม่ว่าจะเป็น โฆษณาบน Facebook, Google, Instagram, Liveสดขายเสื้อผ้าผ่าน หรือ แม้แต่โฆษณาที่มาขัดจังหวะบ่อยตอนที่กำลังดู Youtube อยู่ก็ตาม ซึ่งมันเยอะแยะไปหมด
วันนี้ MakeWebEasy ก็นำเคล็ดไม่ลับมาฝากเจ้าของกิจการทุกท่าน กับ 4 เทคนิคการทำการตลาดออนไลน์ในยุคปัจจุบัน เพื่อเป็นแนวทางในการทำการตลาดออนไลน์ ทำให้แบรนด์เป็นเป็นที่รู้จักมากขึ้น และมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไปดูกันเลยจ้า

1. Influencer Marketing

Influencer คือ ผู้มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์ ที่มีผู้ติดตามตั้งแต่หลักหมื่น ไปจนถึงหลังล้านเลยก็ว่าได้
ซึ่งการนำสินค้าไปให้ Influencer ช่วยในการทำการตลาดนั้น ก็ถือว่า Effective สุดๆในยุคนี้เลย แต่การที่แบรนด์จะเลือกใช้ Influencer คนไหนนั้น ก็ต้องคำนึงถึงสินค้าด้วยว่า มันตรง Target ของ Influencer นั้นหรือไม่
ยกตัวอย่างเช่น มีร้านกาแฟเปิดใหม่ ตกแต่งร้านได้สวยงาม ดูมีกิมมิค น่าถ่ายรูป แต่ดันอยู่ในทำเลที่คนเข้าถึงยาก จึงเลือกใช้ Influencer สายตระเวนชิม หรือสายท่องเที่ยว มาช่วยแนะนำร้านเพื่อให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า Influencer หรือ Blogger นั้น ย่อมมีอิทธิพลต่อผู้ที่ติดตาม และทำให้ผู้ติดตามเกิดความสนใจแบรนด์ ไปจนถึงการซื้อสิ้นค้าได้ไม่ยากเลย

2. Review

นอกจาก Influencer Marketing ที่จะทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักมากขึ้นแล้ว การตลาดผ่านการรีวิวจากผู้ใช้จริง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ เพราะมันจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสินค้าได้เป็นอย่างดี
ยกตัวอย่างเช่น มีลูกค้ารู้จักและเกิดความสนใจในสินค้าของคุณผ่านทาง Influencer แล้ว แน่นอนว่าพวกเขาจะต้อง Search หาข้อมูลสินค้าของคุณ ว่าสินค้านี้เป็นอย่างไร ใช้แล้วดีไหม มีคนพูดถึงสินค้าไปในทางที่ดีหรือไม่ ซึ่งจุดนี้แหละเป็นจุดตัดสินใจสำคัญของลูกค้าที่จะตัดสินใจไปต่อหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับสินค้าของคุณสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้่มากน้อยเพียงใด

3. Promotion

แน่นอนว่าถ้าอยากกระตุ้นยอดขาย ก็ต้องมี Promotion ลด แลก แจก แถม กันหน่อย ไม่ว่าจะเป็นการร่วมสนุกกิจกรรมในเพจแล้วได้รางวัล, ซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์แล้วได้คูปองส่วนลด หรือ ส่งสินค้าฟรีตั้งแต่ชิ้นแรก ก็ขึ้นอยู่กับสินค้าว่าจะทำ Promotion แบบไหนได้บ้าง
แต่การทำ Promotion ก็ไม่ควรทำบ่อยจนเกินไป เพราะมันจะทำให้ลูกค้าติด โปรฯ ซึ่งลูกค้าจะรู้สึกไม่อยากซื้อสินค้าตอนที่ไม่มี Promotion แต่จะรอจนกว่าแบรนด์จัด Promotion ถึงจะซื้อ นั่นถือว่าเป็นผลเสียร้ายแรงต่อแบรนด์ในระยะยาวได้เลย

4. Website

ปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า เว็บไซต์เป็นพื้นฐานในการทำการตลาดออนไลน์ไปเสียแล้ว เพราะยุคนี้ ใครๆก็เข้าไปหาสินค้าหรือบริการผ่าน Google กันทั้งนั้น ซึ่งร้านค้าไหนที่ไม่ได้ทำเว็บไซต์ ก็ไม่สามารถทำโฆษณาผ่าน Google AdWords ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นเท่ากับว่าร้านค้านั้นเสียโอกาสทำเงินไปอย่างมากมายมหาศาล
ที่สำคัญไปกว่านั้น เว็บไซต์ยังเป็นตัวบ่งบอกถึง Brand Identity ให้กับลูกค้า ที่เข้ามายังหน้าเว็บไซต์แล้วเกิดความรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของเขา ซึ่งเว็บไซต์ที่สามารถ Serve ความเป็น Unique ตรงนี้ให้กับลูกค้าได้ ก็มีโอกาสที่จะสามารถปิดการขายผ่านหน้าเว็บไซต์ได้เองโดยที่ไม่ต้องทำอะไรให้เหนื่อยเลย เพราะระบบเว็บไซต์สมัยนี้ก็มีระบบชำระเงินผ่านหน้าเว็บไซต์ ซึ่งอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าเป็นอย่างมาก และในส่วนของธุรกิจเอง ก็สามารถบริหารจัดการสินค้าได้อย่างเป็นระบบมากขึ้นอีกด้วย
บริการสำหรับลูกค้าต้องการทำโฆษณา ติดหน้าแรก google/Facebook/IG และเรายังสามารถ รับสอน seo ขั้นพื้นฐานได้ และอยาก รับทำ seo เราก็จะจัดให้

10 กลยุทธ์การตลาดออนไลน์


การตลาดออนไลน์จะเริ่มเข้ามาบทบาทกับการทำธุรกิจมากขึ้น 
ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก หรือใหญ่แค่ไหน เพราะ "การสื่อสารของคนไทย ได้เริ่มเปลี่ยนรูปแบบไปแล้ว" 
ปีนี้ ดิจิตอลจะมีบทบาทกับคนไทยมากขึ้น 
และจะทำให้คนไทยเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้ช่องทางการสื่อสารออนไลน์เป็นหลักมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

     เช่นเดี๋ยวนี้หลายคนเลิกส่งเอสเอ็มเอส หันไปใช้โปรแกรมส่งข้อความแบบ Line ที่เป็นโปรแกรมส่งข้อความฟรี
หลายคนติดตามเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ว่าทำอะไรกันอยู่ผ่านโปรแกรมเฟซบุ๊คบนมือถือ 

     หรือหากต้องการซื้อของ ก็แทบไม่เปิดสมุดหน้าเหลืออีกแล้ว แต่ค้นหาสินค้าผ่านเสิร์ชเอ็นจินอย่างกูเกิลทันที ดูละครเมื่อวานไม่ทัน พอเช้าอีกวันก็ผ่านยูทูบได้ เห็นไหมครับว่ารูปแบบการสื่อสารและรับรู้ข้อมูลของคนไทยเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว 

     ดังนั้นนักการตลาดและผู้ต้องการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้า
"คุณต้องปรับเปลี่ยนตัวเองไปตามพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายที่เปลี่ยนแปลงไป" 
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มาดูกันว่าปีนี้ การตลาดรูปแบบใดกำลังจะ "มา" 
และเริ่มเป็นช่องทางที่ทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มีศักยภาพมากขึ้น มาดูกันครับ 

     เทรนการแข่งขันทางด้านการตลาดออนไลน์สมัยนี้แตกต่างจากสมัยก่อนไปมากที่เดียว 
เนื่องจากปัจจุบันนี้มีเครือข่ายอินเตอร์เนตที่เสถียรมากขึ้น
ให้การติดต่อสื่อสารสะดวกขึ้นเยอะ และโทรศัพท์มือถือก็สามารถเข้าเว็บไซต์ได้เกือบหมด 
ทำให้อะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป การค้นหาข้อมูลก็ค้นหาผ่านทาง Search Engine อย่าง Google ทันที 
ช่องทางการสื่อสารใหม่ๆ หรือ แอ็พพลิเคชั่นใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน 
เพื่อทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่พลาดการติดต่อ
 ถึงเวลาแล้วที่คุณควรจะต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของลูกค้าคุณ…. 


 1. ทุกอย่างจะมุ่งเข้าสู่โซเชียลเน็ตเวิร์ก (Everything goto Social Network) 
     คนไทยใช้ Facebook มากกว่า 13 ล้านคนหรือคิดเป็นมากกว่า 20%
ของประชากรทั้งประเทศ และมากกว่าครึ่งเปิด Facebook ดูคลิปผ่าน youtube ทุกวัน 
หรือคนไทยดูคลิปฮิตต่าง ๆ สูงที่สุดของวีดีโอใน Youtube 
ทำให้เห็นได้ชัดว่าพฤติกรรมคนไทยกำลังมุ่งเข้าสู่โซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างเห็นได้ชัด 
และโซเชียลเน็ตเวิร์กจะเริ่มกลายมาเป็น “โครงสร้างพื้นฐานในการสื่อสาร (Infrastructure)”
ของคนไทย เหมือนกับ โทรศัพท์, ทีวี หรือหนังสือพิมพ์ คนไทยจะเริ่มใช้ช่องทางนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

เริ่มมีการต่อยอดของโซเชียลเน็ตเวิร์กไปยังกลยุทธ์ทางธุรกิจรูปแบบต่างๆ 
เช่น การตลาดผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก (Social Network Marketing), 
การค้าขายผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก (Socail Network Commerce), 
การประชาสัมพันธ์ผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก (Social Network PR) 
หรือแม้แต่การรักษาความสัมพันธ์ลูกค้าผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก (Socail Network CRM) เป็นต้น 
                                                          ภาพจาก : spacecityseo.com 

2. การปรับแต่งโซเชียลมีเดียจะเป็นสิ่งจำเป็น (SMO – Social Media Optimization) 
     เมื่อโซเชียลเน็ตเวิร์กกลายเป็นช่องทางหลายองค์เริ่มเข้ามาใช้กันมากขึ้น
ในการสื่อสารกับลูกค้าและกลุ่มเป้าหมาย การปรับแต่งโซเชียลเน็ตเวิร์กให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
จึงเป็นสิ่งจำเป็น เช่น การวางแผนให้เกิดการแชร์และกระจายข้อมูลออกไปมากที่สุด, 
การติดตั้งเครื่องมือต่างๆที่ทำให้ผู้ใช้ร่วมส่วนร่วมมากขึ้น เช่น ปุ่มแชร์, ปุ่มชอบ (Likes), ปุ่มส่งต่อ (Retweet), 
สร้างลิงค์กลับมาเราให้มากที่สุด ทั้งหมดนี้เพื่อทำให้โซเชียลเน็ตเวิร์กของเราสามารถเข้าถึงคนและกระจายข้อมูลออกไปให้ได้วงกว้างมากที่สุด และเกิดประสิทธิภาพที่สุด 



3. ผู้มีอิทธิพลออนไลน์จะมีบทบาทในการสร้างกระแส (Online Influencer) 

     เมื่อคนสื่อสารกันในโลกออนไลน์ของโซเชี่ยลเน็ตเวิรก์มากขึ้น คนที่มีคนติดตามมากๆ 
เช่น Facebook ที่มีคนชอบ (like) เยอะๆ หรือ Twitter ที่มีคนตาม (Follower) เยอะๆ Youtube ก็ต้องการ คน subscribe
หรือคนที่มีอิทธิพลทางความคิดกับคนอื่นในช่องทางออนไลน์ ก็จะเริ่มเข้ามาบทบาทในการสร้างกระแส 
หรือการทำให้คนอื่นๆ เชื่อและเกิดความคล้อยตามได้ไม่ยาก 
เพราะการพูดและสื่อสารออกมาของคนที่มีอิทธิพล (Influencer) เหล่านี้ 
ก็จะไปสร้างและโน้มน้าวให้คนอื่นๆ ที่ติดตามเค้าอยู่นั้นเกิดความคล้อยตามในทิศทางเดียวกัน 



4. ตำแหน่ง (Location) จะเข้ามาบทบาทในการทำการตลาดมากขึ้น 
     เมื่ออุปกรณ์หลายอย่างสามารถระบุตำแหน่งของผู้ใช้ได้ เช่น มือถือ,แท็ปเล็ต, กล้องถ่ายรูป หรือ รถยนต์ และแอ็พพลิเคชั่นที่สามารถนำตำแหน่งของคน มาใช้ประยุกต์กับการตลาดได้ไม่อยากเช่น Foursquare, Google Map, Facebook Place ทำให้ “ตำแหน่งของลูกค้า” เริ่มเข้ามามีบทบาท และจะทำให้การสื่อสารไปหาลูกค้ามีความแม่นยำ และเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น ร้านโดนัทที่สยามสแควร์สามารถรู้ได้ทันทีว่า ใครคือลูกค้าที่เข้าซื้อสินค้าของร้านค้าเค้าบ่อยๆ จากประมาณการเช็กอินของลูกค้าผ่านโปรแกรมต่างๆ ทางมือถือ 
                                                                 
     
5. เมื่อโลกออนไลน์เชื่อมโยงกับโลกออฟไลน์ (O2O Marketing) 
     การตลาดบนโลกออนไลน์ จะเริ่มเข้าไปมีบทบาทเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจหน้าร้านค้าปกติ (ออฟไลน์)
ได้อย่างมาก อย่างเช่น หลายคนหาข้อมูล-ส่วนลด ร้านอาหารจากทางออนไลน์ผ่านบริการของดีลพิเศษแต่ละวัน 
(Daily Deal) เพื่อนำไปทานอาหารกับเพื่อนๆ หรือ ลูกค้าบางคนส่อง QR Code เพื่อรับข้อมูล ณ.จุดขาย
เพื่อสามารถดูข้อมูลสินค้า และรายละเอียดเพิ่มมากขึ้นได้ 
ดังนั้นการเชื่อมโยงข้อมูลจากโลกออนไลน์ไปกระตุ้นหรือทำให้คนตัดสินใจซื้อสินค้าในโลกออฟไลน์
กำลังจะเริ่มเติบโตมากขึ้น ซึ่งบางธุรกิจสามารถเพิ่มยอดขาย และจำนวนลูกค้าได้มหาศาลจากการตลาดลักษณะนี้ 


6. หลากอุปกรณ์ทีเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและแอ็พพลิเคชั่น (Device & Application)      ปีนี้จะเป็นอุปกรณ์ต่างๆ รอบตัวเราจะสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น 
ทำให้มันมีความสามารถเพิ่มมากขึ้นอย่างมาก เช่น มือถือ, ทีวี, รถ ยนต์, วิทยุ 
และจำนวนคนไทยใช้แอ็พพลิเคชั่นก็เพิ่มมากขึ้น รูปแบบต่างๆ เหล่านี้
เริ่มมาบทบาทเป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าได้มากขึ้น 
ดังนั้น ทำให้นักการตลาดสามารถเพิ่มช่องทางใหม่ๆ ในการสื่อสารกับลูกค้านอกเหนือจากทางหน้าคอมพิวเตอร์ 
เช่น นักการตลาดเริ่มติดต่อลูกค้าผ่านช่องทางแอ็พพลิเคชั่นใหม่ๆ อย่าง  Line หรือ Instagram เป็นต้น
หรือบางคนก็อาจะสร้างแอ็พของตัวเองขึ้นมาในการติดต่อกับลูกค้าโดยตรงได้ทันที 


7. เมื่อเทคโนโลยีฉลาดและอัตโนมัติมากขึ้น (Semantic Technology)      เรากำลังอยู่ในยุคของข้อมูลอย่างแท้จริง โดยรอบๆ ตัวเราที่เคลื่อนที่ไปจะมีข้อมูลเกิดขึ้นตลอดเวลา 
เช่น ข้อมูลตำแหน่งพิกัดตัวคุณ, ข้อมูลสภาพอากาศ, การจราจร 
หรือธุรกิจต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวคุณ ณ.ขณะนั้น (Context Information) 
ซึ่งข้อมูลแต่ละอย่างจะสามารถนำมาเชื่อมโยงและสร้างให้เกิดข้อมูลรูปแบบใหม่ที่เหมาะสมกับตัวคุณ
โดย อัตโนมัติและทันที (Real Time) ดังนั้น นักการตลาดเริ่มจะเห็นความสำคัญของข้อมูลต่างๆ 
เหล่านี้ นำมาประกอบกันเพื่อสร้างกลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ๆ ที่สามารถตอบสนองกับคนๆ 
นั้นๆ ในพื้นที่ๆ นั้น ได้อย่างแม่นยำเลยทีเดียว 

8. รู้ลึกถึงกลุ่มเป้าหมายด้วยการวิเคราะห์จากพฤติกรรมทางออนไลน์ (Behavioral Marketing & Analytic) 
     เราสามารถเข้าใจและเจาะลึกลงไปถึงพฤติกรรมของลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายเราได้ง่ายมากขึ้น 
เพราะด้วยข้อมูลมากมายมหาศาลที่อยู่ในโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลพฤติกรรมการใช้เว็บไซต์ (Web Log) 
หรือ ข้อมูลการใช้งานโซเชี่ยลเน็ตเวิรก์ หรือแม้แต่การพูดคุยสื่อสารผ่านทางออนไลน์ต่างๆ 
สามารถรวบรวมนำมาวิเคราะห์ เพื่อทำให้เราเข้าใจถึงพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าเรามากขึ้น 
โดยมีเครื่องมือต่างๆ ออกมาช่วย เช่น Google Analytics, Truehits.net, ZocialRank.com 
ซึ่งปีนี้จะเป็นปีที่นักการตลาดให้ความสำคัญกับข้อมูลเหล่านี้มากขึ้น เพื่อทำให้เราสามารถเข้าใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น 

9. การค้าบนโลกออนไลน์จะขยายตัวอย่างรวดเร็ว (E-Commerce Expansion) 
     ถึงแม้ว่าการค้าบนโลกออนไลน์หรือ E-Commerce จะเป็นสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมานาน 
แต่มันจะได้รับความนิยมมากขึ้นในปีนี้ เพราะในปีที่ผ่านมา 
เริ่มมีบริษัทให้ความสนใจในการขยายช่องทางการขายออกไปยังในโลกออนไลน์ 
อย่างเช่น เปิดร้านขายของออนไลน์ หรือ ห้างสรรพสินค้าต่างๆ เริ่มกระโดดเข้าสู่สมรภูมิการซื้อของออนไลน์มากขึ้น 
ประกอบกับระบบชำระเงินออนไลน์และระบบขนส่งสินค้าภายในประเทศพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว 
ทำให้การซื้อขายสินค้าทางออนไลน์เป็นสิ่งหนึ่งที่หลายๆ แบรนด์และธุรกิจต่างให้ความสำคัญมากขึ้น
ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ทั่วประเทศและทั่วโลก 

10. ทุกอย่างจะหล่อหลอมรวมเข้าด้วยกัน (Media Convergence) 

     เมื่อเทคโนโลยีและสื่อมีอะไรเกิดขึ้นมากมาย โดยทุกอย่างจะเริ่มถูกนำมาหล่อหลอมรวมกันให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด 
การใช้วิธีไดวิธีหนึ่งอาจจะไม่เกิดประสิทธิภาพเท่าที่ควร ดังนั้นเราจะเริ่มเห็นการสื่อสารเต็มรูปแบบ 
โดยมีกลยุทธ์และเทคโนโลยีหลากรูปแบบภายใต้แคมเปญหรือกลยุทธ์หลักกลยุทธ์เดียว 
เพื่อทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ในการทำการตลาดยุคใหม่ 
บางคนอาจจะเรียกวิธีนี้ว่า IMC (Integrated Marketing Communication) 
เป็นการใช้สื่อดั่งเดิมเข้าผสมผสานกับสื่อออนไลน์รูปแบบใหม่ เพื่อสร้างกลยุทธ์รูปแบบใหม่ 
ที่จะเข้าถึงลุกค้าได้ในทุกๆ สื่อและช่องทางที่ลูกค้าอยู่ เช่น กลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่จะมีทั้ง สื่อทีวี วิทยุ สิ่งพิมพ์ ออนไลน์ มือถือ แอ็พพลิเคชั่น โซเชียลเน็ตเวิร์ก การใช้ตำแหน่งของ ลูกค้า ฯลฯ 
ทั้งหมดเหล่านี้มาสร้างเป็นกลยุทธ์ในการทำการตลาดเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป
บริการสำหรับลูกค้าต้องการทำโฆษณา ติดหน้าแรก google/Facebook/IG และเรายังสามารถ รับสอน seo ขั้นพื้นฐานได้ และอยาก รับทำ seo เราก็จะจัดให้

 

Sunday, March 24, 2019

วางกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ธุรกิจประกันปี 2019


การตลาดออนไลน์จะเป็นงานยากยิ่งขึ้นสำหรับธุรกิจประกันในปี 2019 เพราะพฤติกรรมของลูกค้าบนโลกออนไลน์จะทวีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ถ้าคิดว่าความสำเร็จในปีนี้จะการันตีความสำเร็จในปีหน้า คุณกำลังก้าวขาข้างหนึ่งไปสู่ความเสี่ยง

จากประสบการณ์ทำการตลาดออนไลน์ให้ธุรกิจประกันชั้นนำหลายๆ แห่งของ Heroleads เราเรียนรู้ว่าไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวสำหรับธุรกิจประกัน แต่การ “วางแผนอย่างมีประสิทธิภาพ” จะทำให้เข้าใกล้ความสำเร็จไปแล้วครึ่งทาง

นี่คือตัวอย่าง 5 คำถาม ที่ธุรกิจประกันสามารถใช้เป็นกรอบในการวางแผนการตลาดออนไลน์ในปี 2019 เพื่อให้สามารถเริ่มต้นความสำเร็จบทใหม่และไปถึงเป้าหมายได้แบบมีทิศทาง

คุณอยู่จุดไหนในธุรกิจนี้?
อย่างแรก บริษัทประกันต้องรู้ก่อนว่า ตอนนี้ธุรกิจของตัวเองอยู่ในจุดไหน เพื่อจะวางแผนก้าวไปสู่ Next Step ขั้นตอนนี้เหมือนการ Overview เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ของธุรกิจ ณ ปัจจุบัน ประกอบด้วยการวิเคราะห์จุดอ่อน-จุดแข็ง โอกาสและอุปสรรคในการดำเนินงาน รวมไปถึงการวิเคราะห์ตลาดและคู่แข่ง พยายามมองทุกอย่างตามความเป็นจริง เพราะข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับ Step ต่อไป  

เป้าหมายของคุณคืออะไร?
บริษัทประกันหลายแห่งทำการตลาดออนไลน์เพียงเพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจประกันยุคใหม่ แต่ลึกๆ แล้วไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตัวเองต้องการผลลัพธ์แบบไหน ต้องการเพิ่มยอดขาย? ต้องการสร้างความเชื่อถือให้ธุรกิจ? หรือต้องการรักษาฐานลูกค้าเก่า? ทั้งหมดนี้มีวิธีการต่างกันที่จะนำไปสู่เป้าหมาย ถ้าตอบคำถามนี้ได้ ก็จะรู้ว่าต้องทำอย่างไรเพื่อไปถึงเป้าหมายนั้น

อะไรทำแล้วได้ผลดี?
วิธีลัดในการวางแผนการตลาดออนไลน์สำหรับปีถัดไป คือการใช้วิธีที่เคยใช้แล้วได้ผล แต่ปัญหาคือบริษัทประกันหลายแห่งไม่ได้เก็บข้อมูลเหล่านี้ไว้อย่างเป็นระบบ เมื่อเปลี่ยนคนทำงาน ทุกอย่างก็ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ แต่ถ้าคุณใช้บริการ Online Agency คุณจะมีรายงานสรุปทุกเดือนว่า Performance ของแต่ละช่วงเวลาเป็นอย่างไร กลยุทธ์แบบไหนที่ทำแล้วได้ผลลัพธ์ดี เหมือนที่ Heroleads เรามีเทคโนโลยีที่เก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่เริ่มต้นจนจบแคมเปญ ธุรกิจที่ร่วมงานกับเราจึงสามารถใช้ข้อมูลความสำเร็จที่ผ่านมา ออกแบบกลยุทธ์เพื่อความความสำเร็จในขั้นต่อไปได้ไม่ยาก

อะไรคือความผิดพลาดที่ไม่ควรทำซ้ำ?
คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่รู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาด การทำการตลาดออนไลน์ก็เหมือนกัน ถ้าโฆษณาบน Facebook ของคุณมียอด Reach สูงแต่ไม่มีคนคลิก หรือไม่สามารถเปลี่ยนเป็นยอดขาย ลองวิเคราะห์ให้ได้ว่า เป็นเพราะเลือกกลุ่มเป้าหมายในการยิงโฆษณาผิด หรือคอนเทนต์ที่ใช้ไม่ดึงดูดพอ

เมื่อคุณเริ่มหาคำตอบ คุณก็จะพบกุญแจที่จะนำไปสู่ความสำเร็จเช่นกัน

อะไรคือสิ่งที่ควรทำในปี 2019?
ถึงตอนนี้คุณรู้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร ต้องการอะไร และวิธีการไหนที่จะพาไปสู่เป้าหมาย แต่มันไม่ได้จบแค่นั้น สมมติว่า คุณรู้แล้วล่ะว่าโฆษณา Google Search สามารถ Convert เป็นยอดขายได้มากที่สุด หรือ Facebook ช่วยให้คนรู้จักโปรดักส์ของคุณมากยิ่งขึ้น

แต่จะบริหารจัดการอย่างไร? เวลาไหนที่ควรเริ่มลงมือทำ? และใครที่จะทำงานนี้?

แผนงานที่อยู่บนกระดาษเอาเข้าจริงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเมื่อถึงเวลาที่ต้องลงมือทำ โดยเฉพาะถ้าคุณไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ หากคุณไม่แน่ใจว่าจะสามารถรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อยู่นอกแผนได้ การเลือกใช้ออนไลน์เอเจนซี่ที่มีประสบการณ์และวางใจได้ก็เป็นวิธีที่น่าสนใจไม่ใช่หรือ?

บริการสำหรับลูกค้าต้องการทำโฆษณา ติดหน้าแรก google/Facebook/IG และเรายังสามารถ รับสอน seo ขั้นพื้นฐานได้ และอยาก รับทำ seo เราก็จะจัดให้

Wednesday, March 20, 2019

Digital Marketing คืออะไร


เมื่อดิจิตอลครองโลก
ดิจิตอล คำนี้ ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งคำยอดนิยมในปัจจุบัน เหตุผลเป็นเพราะว่าในประเทศไทย มีการเปลี่ยนแปลงครั้งของระบบทีวีหรือโทรศัพท์ในบ้านเรา จากระบบอนาล็อก สู่ดิจิตอล และคำอธิบายง่ายๆ ของสองคำนี้ ก็คือ ระบบทีวีแบบดิจิตอลให้ภาพคมชัดกว่า ระบบอนาล็อก และที่สำคัญเมื่อระบบทีวีเปลี่ยนไปเป็นระบบดิจิตอล เราสามารถที่จะสื่อสารแบบเรียลไทม์ สื่อสารในรูปแบบที่สามารถโต้ตอบกันได้อย่างสะดวกมากขึ้นในอนาคต

Digital Marketing คืออะไร

Digital Marketing มาจากคำ 2 คำ คือ Digital และ Marketing ถ้าจะแปลเป็นไทยก็สามารถแปลตรงๆ ได้ และมีความหมายค่อนข้างชัดเจน เพราะคำว่า Digital หมายถึง ตัวเลข ดิจิตอล ส่วน Marketing หมายถึง การตลาด ซึ่งพอรวมกันก็สามารถสรุปได้ว่า Digital Marketing หมายถึง การทำการตลาดผ่านสื่อดิจิตอล แล้วสื่อดิจิตอล หมายถึงอะไรบ้าง มาร่วมหาคำตอบพร้อมๆ กัน
ว่ากันว่า ความหมายของคำว่า Digital Marketing คือ การทำการตลาดผ่านสื่อดิจิตอล เพื่อโปรโมทสินค้าและบริการ สร้างความมีส่วนร่วมกับลูกค้า เพิ่มยอดขายโดยใช้กลยุทธ์ต่างๆ ทางสื่อดิจิตอล ซึ่งความหมายข้างต้นนนี้ อาจมีความแตกต่างกันไปบ้างเล็กน้อย ทั้งนี้ก็แล้วแต่ผู้ให้คำนิยาม

กิจกรรมในการทำ Digital Marketing

  • Search Engine Optimization (SEO)
    เกี่ยวกับการปรับปรุงเว็บไซต์ เพื่อให้สามารถค้นหาง่ายขึ้น เวลามีคนค้นหาบน Search Engine อย่างเช่น Google, Bing และ Yahoo เป็นต้น
  • Search Engine Marketing (SEM)
    เกี่ยวกับการทำการตลาดผ่าน Google หรือ Search Engine อื่นๆ เพื่อให้แสดงผลป้ายโฆษณา มักอยู่ในรูปแบบของ Pay Per Click หรือ Pay Per View
  • Social Media Optimization (SMO)
    เป็นการปรับปรุง Social media เช่น Facebook, Twitter ให้ค้นหาง่ายขึ้นบน Search Engine
  • Content Marketing
    การเขียนเนื้อหาบนสื่อออนไลน์ เพื่อโปรโมทสินค้าและบริการ
  • Campaign Marketing
    เป็นการทำการตลาดด้วยการทำโปรโมชั่น ไม่ว่าจะเป็นการให้ส่วนลด หรือให้ของแถม
  • E-Commerce Marketing
    เป็นการขายสินค้าและบริการผ่านออนไลน์
  • Social Media Marketing
    เป็นการทำการตลาดผ่านสื่อ Social Media ไม่ว่าจะเป็นการ Post หรือการทำโฆษณา
  • E-mail Marketing
    เป็นการส่งอีเมล เพื่อประชาสัมพันธ์ เพื่อแนะนำ ขายสินค้าและบริการ รวมทั้งการทำกิจกรรม
  • Display Marketing
    เป็นการทำการตลาด โดยการแสดงป้ายโฆษณาสินค้าและบริการ
  • E-book
    เป็นการทำหนังสือในรูปแบบของไฟล์บนคอมพิวเตอร์ และทำการแจกจ่าย หรือขาย เพื่อประชาสัมพันธ์
  • etc.
กิจกรรมข้างต้นส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมทางการตลาดแบบออนไลน์ ซึ่งกิจกรรมที่ไม่ผ่านออนไลน์อย่างเช่น การส่ง SMS/MMS ก็เป็นอีกกิจกรรมที่ไม่ควรมองข้างเช่นกัน
จากกิจกรรมในการทำการตลาดผ่านสื่อดิจิตอลข้างต้น จะพบว่า มีหลากหลายมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราอาจไม่จำเป็นต้องทำทุกกิจกรรม แต่เลือกให้เหมาะสมกับธุรกิจของเราเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม สำหรับองค์ที่ควรทำทั้งหมด หรือเกือบทุกหมด ได้แก่ ธุรกิจโรงแรมและพี่พัก เป็นต้น ซึ่งเป็นองค์กรที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูงมากไม่ใช่เพียงแค่แข่งขันในธุรกิจโรงแรมเท่านั้น ยังรวมถึงองค์กรที่มีการขายห้องพักให้กับโรงแรมผ่านสื่อออนไลน์อีกด้วย ตัวอย่างเช่น Booking.com, Agoda, Trivago.com เป็นต้น
บทความถัดไป จะมาอธิบายถึงรายละเอียดของกิจกรรมต่างๆ ในการทำการตลาดผ่านสื่อดิจิตอลกับต่อไปครับ อย่าลืมติดตามกันด้วยนะ
บริการสำหรับลูกค้าต้องการทำโฆษณา ติดหน้าแรก google/Facebook/IG และเรายังสามารถ รับสอน seo ขั้นพื้นฐานได้ และอยาก รับทำ seo เราก็จะจัดให้